รื้อยกเครื่อง‘ประชาธิปัตย์’ โจทย์‘อภิสิทธิ์’สมการขั้วที่4

รื้อยกเครื่อง‘ประชาธิปัตย์’  โจทย์‘อภิสิทธิ์’สมการขั้วที่4

จับตาว่า “ดุลอำนาจ” ภายในค่ายสีฟ้าหลังจากนี้ จะมีการบาลานซ์ให้ลงตัว เพื่อรับ “เกมการเมือง” ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้อย่างไร ภายใต้เดิมพัน ในการฟื้นวิกฤติไต่บันไดไปถึงเกม “พลิกสมการ”ในฐานะขั้วที่4

KEY

POINTS

  • อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง พร้อมการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ส่วนใหญ่เป็นบุคคลใกล้ชิด
  • โจทย์สำคัญของอภิสิทธิ์คือการฟื้นฟูคะแนนนิยมของพรรคที่ตกต่ำอย่างหนัก และกอบกู้สถานะของพรรคในฐานะสถาบันการเมือง
  • การกลับมาของอภิสิทธิ์ถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนสมการการเมือง โดยมีเป้าหมายให้พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นตัวแปรสำคัญ หรือ "ขั้วที่ 4" ในการเมืองรอบหน้า
  • มีการตั้งสมมติฐานว่าพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ จะเปลี่ยนสมการจาก "น้ำเงิน vs ส้ม" มาเป็นสมการที่มี "ฟ้า" เป็นตัวแปรแห่งหลักการ
  • อภิสิทธิ์ยังต้องเผชิญความท้าทายในการบริหารและถ่วงดุลอำนาจภายในพรรคกับกลุ่มผู้อาวุโส โดยเฉพาะการจัดสรรบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.

มติที่ประชุมใหญ่สามัญ พรรคประชาธิปัตย์ วันที่18ต.ค.ที่ผ่านมาท้วมท้น เลือก “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ล็อกชื่อ “ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์” แบบไม่มีคู่แข่ง 

เช็กชื่อกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีความใกล้ชิดกับ “อภิสิทธิ์” เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรค แทบทั้งสิ้น จะมีเพียง “เมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด” รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง  และ“ชัยชนะ เดชเดโช” รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ เท่านั้นที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนอกสาย

แน่นอนว่า หลังประชาธิปัตย์มีการถ่ายเลือดครั้งใหญ่ โดย “อภิสิทธิ์”จะประเดิมตำแหน่งหัวหน้าพรรค ด้วยการเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคนัดแรกในวันที่20ต.ค. 

ย่อมต้องจับตาจังหวะก้าวย่างทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ต่อจากนี้ ภายใต้โจทย์สำคัญ คือการฟื้น“คะแนนนิยม” ที่ดิ่งหนัก ในช่วงที่ผ่านมาให้คืนกลับมา

รื้อยกเครื่อง‘ประชาธิปัตย์’  โจทย์‘อภิสิทธิ์’สมการขั้วที่4

แน่นอนว่า ชื่อของ “อภิสิทธิ์” ในฐานะ “ผู้นำความคิด” และเป็นดีเอ็นเอสีฟ้า ซึ่งถูกคาดหวังว่า จะมาเป็นแม่เหล็ก ดึงเลือดเก่าไหลกลับ กอบกู้เรตติ้งพรรค หากเทียบกับยุคที่ “ค่ายพระแม่ธรณี” รุ่งโรจน์ ในช่วงที่ “หัวหน้ามาร์ค”เป็นผู้นำ จะพบว่า

ปี 2554 ปชป.กวาด สส.159 ที่นั่ง ขณะที่ ปี 2562 หลังการเมืองถูกแช่แข็ง นานถึง 5 ปี แม้ ปชป.จะได้ สส.มาเพียง 53 ที่นั่ง หายไปกว่าครึ่ง และเสียที่นั่งในฐานะเบอร์หนึ่งในขั้วอนุรักษนิยม ทว่ายังคงถือแต้มในระดับต่อรอง เป็นพรรคลำดับ 2 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากเทียบกับปัจจุบันที่มี สส.เพียง 25 คน

ภายใต้ “โจทย์ใหญ่” ในการฟื้นเรตติ้งพรรคสีฟ้า ในฐานะสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยให้กลับคืนมา นอกเหนือจากตัว “อภิสิทธิ์” ที่ถูกล็อกมงเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แล้ว

ยังต้องจับตาไปที่ “ทีมนโยบาย”  ที่จะเข้ามาเสริมทัพหลังจากนี้ 

ว่ากันว่า ในวันที่ “อภิสิทธิ์” เดินทางเข้าพบ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีตหัวหน้าพรรค นอกจากการขอความมั่นใจ เรื่องเสียง “โหวตเตอร์” แล้ว อีกหนึ่งเงื่อนไขที่ “เดอะมาร์ค” พูดคุยกับ “อดีตหัวหน้าต่อ” คือการ“จัดทีมบริหาร” พร้อมดึงคนรุ่นใหม่ รวมถึงบุคคลภายนอกเขามาร่วมทีม 

สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ “อภิสิทธิ์” รวมถึง “กรณ์” ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการเดินสายพบปะบุคคลจากหลากหลายแวดวง

เห็นชัดจากซีนการพบกันระหว่าง “อภิสิทธิ์-กรณ์” และกูรูด้านต่างๆ อาทิ “สันติธาร เสถียรไทย” นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต “สุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีต รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่ง“กรณ์” ระบุว่าเป็น “อนาคตประเทศที่ทุกคนทุกรุ่นต้องการ”

ว่ากันว่าบรรดาบุคคลที่ “อภิสิทธิ์” เดินสายทาบทาม บางคนยังไม่ตอบรับ เนื่องจากรอความชัดเจนว่าถึงที่สุด หัวหน้าพรรคคนใหม่ จะมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารจัดการพรรค มากน้อยเพียงใด

รื้อยกเครื่อง‘ประชาธิปัตย์’  โจทย์‘อภิสิทธิ์’สมการขั้วที่4

ที่น่าสนใจคือ คล้อยหลังพรรคประชาธิปัตย์มีมติเลือก “อภิสิทธิ์” เป็นหัวหน้าพรรคไม่กี่ชั่วโมง “อดีตรัฐมนตรีสุวิทย์” ที่เคยปรากฎซีนร่วมกับ “อภสิทธิ์” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ตั้งสมมุติฐานสมการการเมืองหลังได้ “ผู้นำพรรคสีฟ้า” คนใหม่ว่า 

วันนี้ สมการการเมืองไทยดูแคบและตื้นเกินไป  น้ำเงิน (ภูมิใจไทย)พรรคของทุนอำนาจใหม่ ที่เล่นเกมอำนาจได้ แต่ยังขาดวิสัยทัศน์ระดับชาติที่ชัดเจน

ส้ม (ก้าวหน้า/ประชาชน) พรรคของพลังคนรุ่นใหม่ ที่กล้าท้าทาย แต่บางครั้งไร้หลักยึด  แดง (เพื่อไทย)-พรรคของอดีต ที่พลังถดถอย และอุดมการณ์เลือนราง

แต่หาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมานำพรรคประชาธิปัตย์ สมการนี้จะเปลี่ยนทันที จาก “น้ำเงิน vs ส้ม” โดยมี แดงเป็นตัวแปร สู่ “น้ำเงิน vs ส้ม” โดยมี “ฟ้า” เป็นตัวแปรแห่งหลักการ

ฉะนั้นต้องจับตาสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจาก“ค่ายสีฟ้า” ที่ถึงขั้นถ่ายเลือดเก่าออกทั้งหมดและเติมเลือดใหม่เข้ามาแทน ลึกๆแล้วอาจไม่ได้หวังเพียงแค่การพลิกฟื้นกระแส เพื่อกู้ศักดิ์ศรีแต่ยังหวังไปถึงการเป็นตัวแปรสำคัญในสมการการเมืองในรอบหน้าอีกด้วย 

เหนือไปกว่านั้นต้องจับตาดุลอำนาจการบริหารจัดการภายใน “พรรคสีฟ้า” เวลานี้ จริงอยู่แม้จะมีข่าวออกมาเป็นระยะว่า “อดีตหัวหน้าเฉลิมชัย” ในฐานะผู้มากบารมี และเป็นผู้เดินเกมทุ่มเสียงโหวตเตอร์สนับสนุน “อภสิทธิ์” คัมแบ็กหัวหน้าพรรค อาจตัดสินใจวางมือ โดยปรับบทบาทเหลือแค่ ให้คำปรึกษาเบื้องหลังแทน หรืออีกกระแสระบุว่า อาจไม่ไปต่อกับปชป.

ทว่าการบริหารจัดการในปชป. ยังมี “กลุ่มผู้อาวุโส” ที่ถ่วงดุลอำนาจอยู่อีกชั้น โดยเฉพาะการจัดสรรบัญชีรายชื่อผู้สมัครใน “ระบบปาร์ตี้ลิสต์” ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติ จะให้เกียรติ “อดีตหัวหน้าพรรค” อยู่ในลำดับแรก โดยปัจจุบัน ปชป. มีอดีตหัวหน้าพรรคถึง 5 คน คือ อภิสิทธิ์ ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ และเฉลิมชัย

หากตัดในส่วนของเฉลิมชัย ซึ่งรอบที่ผ่านมาสละสิทธิ์ ไม่ลงสมัคร เพื่อหลีกทางให้สมาชิกมีโอกาสเข้าสภาฯ ดังนั้น “4 ลำดับแรก” ย่อมถูกล็อกไว้ให้อดีตหัวหน้าพรรคอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไหนจะสัดส่วนแกนนำแต่ละภาค รวมถึงสัดส่วนสตรี ที่จะต้องมีอยู่ในทุกๆ 5 ลำดับ คือลำดับที่ 5, 10 และ 15 เป็นต้น ไหนจะการคัดสรรผู้สมัครสส.เขต ที่จะต้องเป็นอำนาจตัดสินใจขแงตัวแทนแต่ละภาค ที่น่าจะได้เห็นโฉมหน้าในเร็ววัน 

จึงน่าจับตาว่า “ดุลอำนาจ” ภายในค่ายสีฟ้าหลังจากนี้ จะมีการบาลานซ์ให้ลงตัว เพื่อรับ “เกมการเมือง” ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้อย่างไร ภายใต้เดิมพัน ในการฟื้นวิกฤติไต่บันไดไปถึงเกม “พลิกสมการ”ในฐานะขั้วที่4  หลังจากนี้