การเมืองปรับทัพรับ “เลือกตั้ง” จับตา “ปชป.-กระแสชาตินิยม”

การเมืองปรับทัพรับ “เลือกตั้ง” จับตา “ปชป.-กระแสชาตินิยม”

สถานการณ์ทางการเมืองช่วงนี้ เป็นช่วงที่ถูกจับมองมากที่สุดช่วงหนึ่ง ไม่เพียงเป็นที่ทราบกันดีว่า จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน และจัดการเลือกตั้งใหม่หลังจากนั้น

หากแต่ในฝ่ายการเมือง ก็มีกระแสเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกิดขึ้นหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ การปรับทัพรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ที่เห็นได้ชัดก็คือ พรรคเพื่อไทย ที่ชิงเปิดตัวผู้จะลงสมัครส.ส.ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนไก่โห่ นัยว่า เป็นกลยุทธ์ป้องกันเลือดไหลออกนั่นเอง แต่ก็ยังไหลออกไม่หยุดอยู่ดี ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูเหมือนก่อนหน้านี้ได้เดินทางมาถึงจุดต่ำสุดในรอบหลายปี วันนี้ได้ “หัวหน้าพรรค” คนใหม่เรียบร้อย และเลือดสีฟ้าดีเอ็นเอแท้และดั้งเดิมหลายคนก็คืนรังตามความคาดหมาย สร้างความฮือฮาให้กับแฟนพันธุ์แท้พรรคเก่าแก่ที่สุดของการเมืองไทยเวลานี้

สำหรับพรรคเพื่อไทย กระแสเลือดไหลไม่หยุด ที่น่าตกใจ ไม่เพียงส.ส.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) โดยเฉพาะอีสานใต้จำนวนหนึ่ง ย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย ก่อนแล้วเท่านั้น หากแต่ล่าสุด แกนนำคนสำคัญของภาคเหนือ ยังออกมาประกาศลาพรรคอีกคน

นั่นคือ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาประกาศอำลาพรรค พร้อมระบายความในใจว่า ตนตัดสินใจจะลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย การตัดสินใจนี้ไม่เกี่ยวกับที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน หรือกระแสตก แต่เหตุผลมาจากการบริหารจัดการภายในที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 เชื่อว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ ก็อึดอัดกับสถานการณ์ในพรรคกับการจัดลำดับความสำคัญที่มีปัญหาค่อนข้างมาก แต่ผู้บริหารพรรคมองไม่เห็น

ทั้งที่การเลือกตั้งทั้งในระดับ ส.ส. หรือ ท้องถิ่น ก็ฟ้องอยู่ว่า พรรคอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่ตนมีส่วนในการบริหารจัดการมาโดยตลอดก่อนจะถูกลดบทบาท กระทั่งไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลย อย่างที่ จ.เชียงใหม่ ที่เลือกตั้งล่าสุดได้มาเพียง 2 เขต ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของพรรค จุดเปลี่ยนมาจากการที่พรรคสนับสนุน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ถึง 2 สมัย แต่เมื่อได้ทำงานกลับทำงานแบบไม่เห็นหัวใคร ไม่เคยประสานส.ส. หรือผู้สมัครส.ส.พรรคที่ไม่ใช่พวกตัวเอง มันก็เลยพังอย่างที่เห็น

และจุดแตกหักสุดท้าย กรณีพรรคมอบหมายให้เฟ้นหาผู้ที่มีศักยภาพ เพื่อเสนอตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จ.ลำพูน เมื่อได้คนที่เหมาะสม และเริ่มให้ทำพื้นที่ก็ได้กระแสดี แต่พรรคตัดสินใจเลือกคนอื่นโดยไม่แม้แต่จะนำชื่อคนที่ตนชักชวนเข้าไปเป็นตัวเลือกในการพิจารณาด้วยซ้ำ เพราะผู้มากบารมีในพรรคบางคนล้วงลูก สั่งการเอาคนนั้นคนนี้ลง โดยไม่ทำโพล เมื่อกระแสพรรคเป็นแบบนี้ การวางตัวผู้สมัคร ส.ส. ย่อมต้องละเอียดมากที่สุด จะทำกันแบบเดิมๆ ไม่ได้

 “การตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจเพียงลำพัง ไม่ได้หารือหรือแจ้งให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ทราบแต่อย่างใด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสายสัมพันธ์ครอบครัว และนายจุลพันธ์ ถือว่ามีความอาวุโสทางการเมือง และมีแนวทางของตัวเอง ไม่อยากให้มองว่า ตนทิ้งพรรคเพื่อไทยในวันที่พรรคตกต่ำ เพราะที่ผ่านมาทุ่มเทเต็มที่ให้กับพรรค และกับครอบครัวชินวัตรมาโดยตลอด ยอมรับว่าใจหายเเละเสียใจอย่างยิ่ง เพราะร่วมบุกเบิกมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย สุดท้ายนี้ผมขอกราบขอบพระคุณ อดีตนายกฯทักษิณ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ รวมถึงอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ตลอดจนผู้ร่วมอุดมการณ์ และขอส่งกำลังใจและความปรารถนาดีไปยังทุกท่านที่ร่วมเดินทางกันมา”

 นี่คือ สิ่งที่ซ้ำเติม “ขาลง” พรรคเพื่อไทย สะท้อนชัดเจนว่า ปัญหาภายในก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการทำงานลักษณะมีเจ้าของพรรค?

 ขณะพรรคการเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็น พรรคประชาชน (ดีเอ็นเอพรรคก้าวไกล) ยังคงมีความท้าทายอยู่กับกระแสคนรุ่นใหม่ กระแสต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความต้องการทางเลือกใหม่ หากแต่เมื่อมีดีเอ็นเอก้าวไกลอย่างเข้มข้น สิ่งที่พรรคประชาชนจะต้องเผชิญหน้าอย่างไม่มีทางหลีกพ้น ก็คือ กระแส “ชาตินิยม” ของขั้วอนุรักษ์ ยิ่งไปกว่านั้น พรรคประชาชนยังเป็นพรรคเลือดเข้มข้นในอุดมการณ์ จนหลายเรื่อง “ยอมหักไม่ยอมงอ” จึงเป็นข้อจำกัดหนึ่งทางการเมือง ดังนั้นแม้ว่ากระแสดี ก็ดีแต่เฉพาะกลุ่ม ไม่ถือว่า เป็นกระแสหลัก เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ส่วนผลที่คาดหวังว่า “ยุบสภา” จะทำให้พรรคประชาชนชนะเลือกตั้ง และได้ส.ส.มากขึ้น จนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ชักไม่แน่แล้วเหมือนกัน

ด้านพรรคภูมิใจไทย อาจถือเป็นพรรคขนาดกลางไปหาใหญ่พรรคเดียวที่มีพลัง “ดูด” ส.ส.เข้าพรรคค่อนข้างสูง โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย ที่มี “ดีเอ็นเอ” ใกล้เคียงกัน เข้ากันได้ง่าย และหลายคนเติบโตทางการเมืองมาด้วยกันตั้งแต่สมัยอยู่พรรคไทยรักไทย จึงไม่แปลก หากจะเห็นได้ว่า ขณะพรรคเพื่อไทย(ดีเอ็นเอไทยรักไทย) กระแสความนิยมตกต่ำ พรรคภูมิใจไทย กลับกระแสความนิยมดีดขึ้น ชนิดสวนทางกัน ดังนั้นนักวิเคราะห์การเมืองหลายคน เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทย อยู่ในฐานะพรรคที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า แทนพรรคเพื่อไทยเลยทีเดียว ทั้งต้องไม่ลืม พรรคสีน้ำเงินได้อำนาจรัฐมาอยู่ในมือช่วงเลือกตั้ง เพราะเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ซึ่งถือว่าได้เปรียบในทางการเมือง จึงอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่นับกระแสที่หลายคนเชื่อว่า ภูมิใจไทย คือ ผู้ถูกเลือกให้มาเป็นแกนนำ “สายอนุรักษ์” แทนพรรคเพื่อไทย จึงยิ่งน่าจับตามอง

กระนั้น ที่น่าจับมองไม่แพ้กัน อาจอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งวันนี้(18 ต.ค.68) ได้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ อย่างไร้คู่แข่ง

ประเด็นของ “ประชาธิปัตย์” อยู่ที่การกอบกู้ฟื้นฟูพรรคจะทำได้ดีแค่ไหนในช่วงเวลาอันสั้น ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้น แม้ว่า “กระแสไหลเข้า” ของ “เลือดสีฟ้า” จะเป็นที่ฮือฮาอย่างมากของ คนรักประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะหลายคนเคยมีบทบาทสำคัญในพรรค และมีคะแนนนิยมส่วนตัวอยู่แล้ว แน่นอน, สิ่งที่จะบอกว่า “เขากลับมาแล้ว” คือโจทย์ใหญ่และท้าทายของผู้บริหารชุดใหม่

 ที่สำคัญ การได้ “เดอะมาร์ค” เป็นหัวหน้าพรรค สิ่งแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะไม่น้อยหน้าพรรคอื่นแม้แต่น้อยคือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทั้งความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ พูดได้ว่า พร้อมส่งเข้าประกวด อยู่ที่ว่า ผลการเลือกตั้งส.ส.จะได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์(25 คนขึ้นไป)ของจำนวนส.ส.ทั้งหมดในสภาฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสิทธิ์เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่เท่านั้น

 ประการต่อมา ท่ามกลางขาลงของเพื่อไทย ข้อจำกัดในเรื่องอุดมการณ์ที่มีผลต่อสังคมไทยของพรรคประชาชน และมีประชาชนจำนวนหนึ่ง ไม่นิยม “ภูมิใจไทย” เพราะมี “ครูใหญ่บุรีรัมย์” อยู่เบื้องหลัง รวมถึงมีสายสัมพันธ์กับทุนใหญ่ จุดนี้ก็อาจทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และ “ประชาธิปัตย์” ก็อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งได้

 ดังนั้น การปรับทัพสู้เลือกตั้ง จึงเป็นเรื่องสำคัญของทุกพรรคการเมือง เพราะช่วงเวลาการเลือกตั้งถูกกำหนดอย่างชัดเจน ส่วนจะทำได้ดีแค่ไหน ก็อยู่ที่ผลงาน และการคัดเลือกบุคคลที่ประชาชนยอมรับในการที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ(แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี)และผู้แทนราษฎร ด้วย

พูดถึง “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายการเมืองและประชาชนค่อนข้างดูเบาปัญญา โดย ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมาก

 เริ่มจากพรรคการเมือง จะเห็นว่า หลายพรรคการเมือง ไม่สนใจ ใส่ใจที่จะสรรหาคนที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์สูงด้านการบริหารที่เชื่อว่าจะบริหารประเทศได้ มาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ส่วนใหญ่จะยกให้ “หัวหน้าพรรค” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง หัวหน้าพรรคหลายคน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะมีประสบการณ์ทางการเมืองก็ตาม

ทั้งที่รัฐธรรมนูญเปิดกว้างให้พรรคการเมืองเลือกสรร คนที่จะมาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” อยู่แล้วก็ตาม

โดย รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 กำหนดว่า เมื่อมีการเลือกตั้งส.ส. ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง แจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่า จะเสนอให้ส.ส.พิจารณาให้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนปิดการสมัครรับเลือกตั้ง และให้ กกต. ประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ พรรคการเมืองที่สมัครเลือกตั้งจะเสนอรายชื่อแค่หนึ่งหรือสองคนก็ได้ และไม่เสนอรายชื่อบุคคลเพื่อเป็นนายกฯ ของพรรคเลยก็ได้

ทุกคนที่อยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรี ต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือแก่พรรคการเมืองนั้นก่อน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองและไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. พรรคการเมืองไม่อาจเสนอชื่อบุคคลมีชื่อเสียงต่างๆ ในสังคมเอง โดยไม่ได้รับความยินยอม และทุกคนจะถูกเสนอได้โดยพรรคการเมืองพรรคเดียวเท่านั้น

บทเรียนราคาแพงที่การเมืองไทยจะต้องทบทวนอย่างมาก ก็คือ การก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ขณะอ่อนด้อยประสบการณ์ทั้งทางการเมือง และการบริหาร เพียงเพราะเป็น “บุตรสาว” ของผู้มีอิทธิพลทางความคิดต่อพรรคเพื่อไทย ก็ถูกเลือกเป็นแคนดิเดตนายกฯได้แล้ว

เรื่องนี้ ทั้งพรรคการเมือง และประชาชน จะต้องทบทวนความคิดที่ดูเบาปัญหา และให้ความสำคัญกับคุณสมบัติส่วนตัวของคนที่เป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ในการเลือกพรรคการเมือง และส.ส.ของพรรคการเมือง เข้ามาเป็นตัวแทน และบริหารประเทศ

นั่นแสดงว่า พรรคการเมือง ที่ต้องการส่งคนใน “อาณัติ” ส่ง “ลูกสาว-ลูกชาย-ลูกเขย-น้องเขย” มาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ต้องคิดหนัก เพราะประชาชนจะพิถีพิถันในการเลือกตั้งมากขึ้น

 นั่นอาจทำให้ พรรคการเมืองที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น

สุดท้าย นอกจากการปรับทัพของฝ่ายการเมืองแล้ว ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการเลือกตั้งสูง ไม่ต่างกระแส “เบื่อประยุทธ์” เมื่อปี 2566 ที่พรรคประชาชนชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 นั่นคือ “กระแสชาตินิยม” อันเกิดจากกรณีสู้รบกับกัมพูชา และมีความขัดแย้งในบางพื้นที่ที่อ่อนไหวเปราะบางพร้อมจะลุกลามเป็นไฟสู้รบได้อีกครั้ง อาจเป็น “ตัวแปร” สำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งส.ส., การ “ลงประชามติ” เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ และยกเลิก “MOU 43,44” หรือข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือไม่ ที่เตรียมหย่อนบัตรในวันเลือกตั้ง

 ดูตัวอย่างกรณีทัวร์ลง “อังคณา นีละไพจิตร” สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) อย่างหนัก และหลายคนตอบโต้อย่างรุนแรง กรณีโพสต์เฟซบุ๊กตำหนิ อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง “กัน จอมพลัง” หรือ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ ที่นำรถติดตั้งเครื่องเสียงไปเปิดซาวด์ผีและเครื่องบินรบใส่ชาวกัมพูชาบริเวณชายแดน จ.สระแก้ว ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชา อาจเข้าข่ายการทรมานทางจิตวิทยา(Psychological Torture) ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

 ล่าสุด ยังมีคนส่งข้อความข่มขู่คนใกล้ชิด กรณี “อังคณา” โพสต์ข้อความว่า จิตใจต้องโหดร้ายขนาดไหน ถึงขนาดส่งข้อความข่มขู่ผู้สูงอายุ 100+ ปี...

พูดได้ว่า กระแส “ชาตินิยม” แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ไม่แต่ในพื้นที่อีสานใต้ที่ติดกับชายแดนกัมพูชา หากแต่ขยายวงไปถึงภาคใต้ และตราบใดที่ปัญหาไทย-กัมพูชายังไม่ยุติ และมีสันติภาพอย่างแท้จริง ตราบนั้นกระแสนี้ก็ยังจุดติดทุกครั้งที่มีประเด็นเกี่ยวข้อง

ในทางการเมือง เชื่อว่าหลายพรรคจ้องฉวยโอกาสตาเป็นมัน เพียงแต่ใครจะเนียนกว่ากัน ใครจะไปไม่เป็น? เพราะรับไม่ได้กับกระแสนี้ อีกไม่นานเกินรอ ก็คงได้รู้กัน!