ยกเลิก‘เอ็มโอยู’หยั่งเชิง‘กองทัพ’ ปะทะ 5 วันเสี่ยงเสียของ

รัฐบาล ต้องพิจารณาให้น้ำหนัก สุดท้ายแล้วการยกเลิก หรือคงอยู่ เอ็มโอยู 43-44 มีผลดี-ผลเสียต่อประเทศไทยมากน้อยกว่ากัน ในห้วงที่เลือดรักชาติของคนไทยพุ่งปรี๊ด
KEY
POINTS
- ทิศทาง“กองทัพ” ยังเห็นไม่สอดคล้องกัน MOU 43-44 เพราะผลการปะทะ 5 วันชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบความสัมพันธ์ประชาชนสองประเทศที่ยากจะกลับมาเหมือนเดิม
- “กองทัพบก” เคยสอบถามและขอให้รัฐบาลพิจารณา MOU 43 ยังสามารถใช้ได้หรือไม่กับสถานการณ์ปัจจุบัน
- กองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะอยู่ในกลไก JBC กังวลเรื่องความต่อเนื่องของกระบวนการสำรวจเขตแดน
- อดีตเสนาธิการทหารเรือ เสนอให้ยกเลิก เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหา เสี่ยงเสียดินแดน
“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย นัดหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการทหารสูงสุด และเหล่าทัพ กรณีหากจะ ยกเลิกMOU 43 และ ยกเลิกMOU 44 ภายใต้เวลาจำกัดของรัฐบาล
ควบคู่การทำประชามติสอบถามประชาชน พ่วงกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 4 ใบ คือ สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ ประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมกันในคราวเดียว
ท่ามกลางข้อกังวลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบต่ออธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ และการให้ข้อมูลกับประชาชนอาจไม่รอบด้าน นำมาซึ่งความเสียหายในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการเจรจาในอนาคต
ทว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ไม่ได้ลดละ โดยอ้างว่า เป็นการให้เกียรติ และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม และจะเร่งทำความเข้าใจประชาชน ให้รับทราบสิทธิและหน้าที่อย่างชัดเจน แม้รัฐบาลจะมีอำนาจยกเลิกได้เองโดยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา ผลออกมา ชี้ว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยก็ตาม
ส่วนทิศทาง “กองทัพ” มีความเห็นไม่สอดคล้องกัน เพราะผลการปะทะ 5 วันชายแดน ไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบความสัมพันธ์ประชาชนสองประเทศที่ยากจะกลับมาเหมือนเดิม
สิ่งบ่งชี้ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) 2 ครั้ง หลังข้อตกลงหยุดยิง เนื้อหาสาระที่ฝ่ายไทยเสนอ และเรียกร้องไปยังฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติ ไม่เคยมีเรื่อง MOU 2543 แม้แต่ครั้งเดียว
ก่อนหน้านี้ “กองทัพบก” เคยสอบถามและขอให้รัฐบาลพิจารณา MOU 43 ยังสามารถใช้ได้หรือไม่กับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะสิ่งแวดล้อม บริบทที่เปลี่ยนไป อาจจำเป็นต้องปรับปรุง หรือหาเครื่องมือใหม่ทดแทน
เพราะหากยังใช้ MOU 43 ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะมีข้อกําหนดว่า ทั้งสองประเทศต้องออกจากพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ และปล่อยว่าง ไม่ดำเนินการก่อสร้าง หรือเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ จนกว่าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) จะดำเนินการเส้นเขตแดนจนได้ความชัดเจน
เดิมทีก่อนเหตุปะทะ กัมพูชาละเมิด MOU 43 รุกล้ำเข้าพื้นที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ตลอดแนวชายแดน ตามแผนที่ 1 : 200000 ที่ยึดถือ ปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ จนเป็นที่มา ฝ่ายไทยทำหนังสือประท้วงประมาณ 600 ครั้ง แต่ในเหตุปะทะ 5 วัน ทหารไทยยึดคืนพื้นที่อ้างสิทธิ์ไว้ทั้งหมด 11 พื้นที่ ตามแผนที่ 1 : 50000 ขับไล่ทหารกัมพูชาถอยร่นออกไป ประกอบด้วย ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย (ได้พื้นที่รอบๆ ไม่ได้ปราสาท) ช่องบก โดนตวล สัตตะโสม ช่องจอม ช่องสายตะกู พระวิหาร พลาญยาว
แน่นอนว่า หาก MOU 43 ยังบังคับใช้ ฝ่ายไทยต้องถอยออกจากพื้นที่ 11 จุดที่ยึดได้ด้วยกำลังทั้งหมด ตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ หากเป็นเช่นนั้น จะเป็นที่มาของคำถามคนไทยว่า จะยอมหรือไม่ เพราะกองทัพสูญเสียทรัพยากรมากมายในเหตุปะทะ ทหารบาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต ผู้บริสุทธิ์สูญเสียหลายราย
ส่วนกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะอยู่ในกลไก JBC กังวลเรื่องความต่อเนื่องของกระบวนการสำรวจเขตแดน เพื่อจัดทำแผนที่ ซึ่งการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา มีความคืบหน้า เป็นรูปธรรมพอสมควร ทั้งการรับรอง 45 หลักเขต เหลือเพียง 29 หลักเขต ที่ยังเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี Lidar ในการหาสันปันน้ำ ซึ่งกัมพูชาตอบรับแล้ว หลังจากปฏิเสธมาตลอด
สอดคล้องกับ “เพจสนามไชย 2” ช่วง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น รมช.กลาโหม ให้ข้อมูลการใช้เทคโนโลยี Lidar ทางออกแก้ปัญหาพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา ดังนี้
LiDAR เป็นเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลที่ใช้แสงเลเซอร์ในการวัดระยะทาง และสร้างแบบจำลองภูมิประเทศแบบ 3 มิติ ด้วยความแม่นยำสูง โดยทำงานผ่านการยิงแสงเลเซอร์จากเครื่องบิน หรือโดรน แล้วบันทึกเวลาที่แสงสะท้อนกลับมาคำนวณเป็นระยะทาง และความสูงหลักการทำงานของ LiDAR
1. ยิงพัลส์เลเซอร์ลงสู่พื้นดินหรือวัตถุเป้าหมาย 2. วัดเวลาที่แสงสะท้อนกลับ เพื่อคำนวณระยะทาง 3. สร้างแผนที่ 3 มิติ (Point Cloud) แสดงรายละเอียดภูมิประเทศ เช่น ภูมิประเทศ อาคาร ป่าไม้
จุดเด่นของ LiDAR 1. มีความแม่นยำสูง สามารถวัดระดับความสูงได้แม่นยำถึง ±10 ซม. เหมาะสำหรับการหาค่า “สันปันน้ำ (Watershed)” ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญในสนธิสัญญาไทย-กัมพูชา 1904
2. สามารถสแกนผ่านพื้นที่ทึบ เลเซอร์ทะลุผ่านใบไม้และพืชพรรณ ทำให้เห็นภูมิประเทศจริงแม้ในป่าทึบ 3. ลดข้อโต้แย้งจากแผนที่เก่า แผนที่ฝรั่งเศส 1 : 200,000 วาดด้วยมือ และอาจคลาดเคลื่อน แต่ LiDAR ให้ข้อมูลตามสภาพภูมิประเทศจริง
การนำมาประยุกต์ใช้ 1. เหมาะสำหรับนำมาใช้แก้ปัญหาพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา ตรวจสอบเส้นสันปันน้ำ ว่าแผนที่ฝรั่งเศสตรงกับสภาพจริงหรือไม่ สำรวจพื้นที่ทับซ้อน เช่น บริเวณปราสาทพระวิหาร เพื่อหาข้อเท็จจริงร่วม สร้างแบบจำลองดิจิทัล เสนอต่อศาลหรือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)
2. สหรัฐอเมริกา - แคนาดา ใช้ LiDAR ปักปันเขตแดนในพื้นที่ป่าสูง 3. เนปาล - อินเดีย ใช้สำรวจพื้นที่พิพาทเชิงเทือกเขาหิมาลัย
ส่วนกองทัพเรือ MOU 44 เป็นความต่อเนื่องจาก MOU 43 ลากพื้นที่ทางบกมาสิ้นสุดหลักเขต 73 อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ไปสู่ไหล่ทวีป ซึ่งมีทรัพยากรใต้น้ำ บนดิน ใต้ดิน เข้ามาเกี่ยวข้อง
พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ อดีตเสนาธิการทหารเรือ-อดีตสมาชิกวุฒิสภา-อดีตเสนาธิการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ (ศปก.ทร.) เคยพูดถึง MOU 44 และเสนอให้ยกเลิก เพราะเป็นต้นเหตุของปัญหา เสี่ยงเสียดินแดน เหตุเป็นเอกสารที่เหมือนว่า เราไปประทับตรา ว่าเรายอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อนเส้น 266 เพราะของกัมพูชาที่ประกาศตอนปี 2515 และของเราประกาศตอนปี 2516 ก่อนหน้านี้ปี 2544 เราไม่เคยยอมรับว่าเส้นที่ลากผ่านเกาะกูด เป็นเส้นที่ถูกต้อง เราไม่เคยยอมรับเลย จนกระทั่งมีมาปรากฏใน MOU 44 มันคือยอมรับเลย
อย่างไรก็ตาม คนบางส่วนในกองทัพเรือ มองว่าสมควรยกเลิก และไปสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการทํางานใหม่ และไปดําเนินการโดยไม่ต้องคํานึงถึงเรื่องหลักเกณฑ์เดิม แต่ต้องคงไว้ซึ่งหลักการทวิภาคี เพราะนอกจาก MOU แล้ว ยังมีเครื่องมืออื่นมากมาย แม้วิธีการจะเปลี่ยนไป แต่วัตถุประสงค์ยังคงเดิม
อีกทั้งยังมองว่า MOU เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทวิภาคี อย่าไปยึดมั่นถือมั่น มากเกินไป และทํามา 20 ปีแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า กัมพูชาไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ หรือความตั้งใจที่จะทําให้ปัญหายุติลงเลย
ปมประเด็นเหล่านี้ กำลังสะท้อนไปยังรัฐบาล ต้องพิจารณาให้น้ำหนัก สุดท้ายแล้วการยกเลิก หรือคงอยู่ MOU 43-44 มีผลดี-ผลเสียต่อประเทศไทยมากน้อยกว่ากัน ในห้วงที่เลือดรักชาติของคนไทยพุ่งปรี๊ด







