จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

จุดเสี่ยงการเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางตั้ง สสร.มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ มีความเสี่ยงอาจคว่ำลงได้ทุกเมื่อ ขณะที่ "เพื่อไทย" เตรียมงัดอาวุธลับขู่ไม่ไว้วางใจนายกฯ

KEY

POINTS

  • ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สสร. ฉบับพรรคประชาชน  ที่ใช้เป็นร่างหลักในชั้น กมธ.วิสามัญมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกคว่ำในวาระที่ 3 จากการขัดขวางของ สว.สายสีน้ำเงิน
  • พรรคเพื่อไทย เตรียมรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อนุทิน  พร้อมทั้งรอโอกาสที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเปิดทางตั้ง สสร.จะผ่านรัฐสภา
  • "เพื่อไทย" ประเมินว่านายกฯ อนุทิน อาจตัดสินใจชิงยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอย่างเป็นทางการ

โมเดลสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือสสร. 3 พรรคการเมือง เพื่อเปิดทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการเปิดประตูไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อดูแต้มต่อ และไพ่ในมือ อำนาจคุมเกม จะอยู่ที่ก๊กน้ำเงินเป็นหลัก

เพราะกลไกคว่ำร่างรัฐธรรมนูญนั้น ก๊กน้ำเงินมี สว.อยู่ในมือไม่ต่ำกว่า 130 เสียง มีอิทธิฤทธิ์ในการคว่ำร่างในวาระที่ 3 ได้ หากเสียง สว.เห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 จะทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีอันตกไปทันที

เห็นได้ชัดจากผลการลงคะแนนออกเสียงแบบเปิดเผยในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2568 สว.สายสีน้ำเงิน ลุกแสดงพลังข่ม “เพื่อไทย”อย่างไม่เกรง
 

ขณะที่ สว.บางส่วน เล่นบทสองหน้า ด้วยการงดออกเสียงฉบับพรรคสีส้ม ไปด้วยในคราวเดียว อ้างเห็นทำนองว่า เนื้อหาของฉบับพรรคสีส้ม มีแนวโน้มเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน

ส่วนฉบับพรรคเพื่อไทย ถูกคว่ำตั้งแต่วาระแรก จบด้วยสภาพล่มไม่เป็นท่า เสมือนถูกกระทำซ้ำซาก เป็นเกมที่ฝั่งตรงข้ามต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่ให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสเอาไปเคลมได้ว่า เป็นผลงานในช่วงหาเสียง แม้ สว.สายน้ำเงิน จะถูกมองว่า แก้แค้น“เพื่อไทย” ในคดีฮั้ว สว.

จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

ทำให้“เพื่อไทย”ต้องพลิกเกม เล่นบทหล่อในทางการเมือง ด้วยการโหวตเห็นชอบให้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เอาชนะฝั่งพรรคภูมิใจไทย และสว.น้ำเงิน ไปด้วยมติ 300 ต่อ 287 เสียง 

สุดท้ายปลายทางแล้ว เมื่อดูแนวโน้ม เสียงของฝั่งเพื่อไทยและพรรคประชาชน อย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะฝั่งพรรคภูมิใจไทย และ สว.ในการชิงเก้าอี้ประธานกรรมาธิการ(กมธ.)ได้ เท่ากับว่า การปรับแก้ไขเนื้อหาในชั้นวาระที่ 2 กลไกฝั่งขั้วสีน้ำเงิน ยังสามารถคุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ

เมื่อโฟกัสไปยัง สสร.ฉบับ “ภูมิใจไทย” ที่ยึดแนวปี 2540 โดยการเลือก สสร.ทางอ้อมผ่านกระบวนการสมาชิกรัฐสภา โดยมี สสร.จำนวน 99 คน 

ขณะที่ สสร.ฉบับ“พรรคประชาชน”เสนอ 2 คณะ คณะผู้ร่างและคณะผู้แทน สสร.135 แบ่งเป็น กมธ.ยกร่างฯ 35 คน และมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ส่งให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คนตามสัดส่วน สส. สว.และพรรคการเมือง อีกส่วนจะเป็นสภาที่ปรึกษาการยกร่างฯ 100 คน ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ต้องยอมรับว่า เสถียรภาพของรัฐบาลภูมิใจไทย การอยู่หรือไปของนายกฯ อนุทิน ต้องมีพรรคประชาชนคอยอุ้มชู และโหวตสนับสนุนให้ สภาพรัฐบาลจึงไม่ต่างจากรัฐบาลเปลือกหอยเมื่อปี 2519

บริบท ปัจจัยสถานการณ์เวลานี้ พรรคประชาชนยังมองเกมว่า การอุ้มชู “รัฐบาลภูมิใจไทย” ถือเป็นทางเลือก ที่ถูกทางแล้ว เพราะสามารถทำให้กลไกที่เคยตั้งธง ภูมิใจขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับมาอยู่ในเกมตัวเอง ด้วยการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

ทว่า เมื่อดูปัจจัยเสี่ยง จุดล่อแหลมที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับตั้ง สสร. ยังมีโอกาสล่มได้ทุกเมื่อ ก่อนเดดไลน์ยุบสภาฯ

ย้อนไปในอดีต เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2564 ที่ประชุมร่วมของรัฐสภา เคยมีมติคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ในวาระ 3 ฉบับซึ่ง ที่มา สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 200 คน ด้วยเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา

ครั้งนั้น พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทยพยายามผลักดัน แต่กระบวนการท่าทั้งหมด สุดท้ายตกม้าตาย เพราะธงของฝั่งอนุรักษนิยม ไม่ต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือรื้อโครงสร้าง และกลไกของรัฐธรรมนูญปี 2560

เพื่อไทยเคยถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จึงพยายามเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยความรอบคอบ และรัดกุม ผ่านทั้งการสอบถามศาลรัฐธรรมนูญ ว่าควรทำประชามติกี่ครั้ง และศึกษาเพิ่มเติมถึงกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ จนทำให้ถูกมองว่าเตะถ่วง

ขณะที่พรรคประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้ให้มี สสร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงก่อนยุบสภา

จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

อย่างไรก็ตาม กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะพิจารณาในวาระที่ 2 ซึ่งยังมี 2 ร่าง คือ ร่างหลักของพรรคประชาชน และร่างพรรคภูมิใจไทย แต่เริ่มมีเสียงต้านในหมู่ สว.ดังขึ้นมาว่า ตัวร่างหลัก อาจสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด ที่วินิจฉัยว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” เพราะมีเนื้อหาที่อาจนำไปสู่การเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน

จุดเสี่ยงนี้ จึงมีความเป็นไปได้ ที่ในชั้น กมธ.ก่อนถึงวาระที่ 3 จะถูก สว.สายสีน้ำเงิน แปรญัตติคัดค้าน เนื้อหาร่างของพรรคส้ม และอาจถึงขั้นต้องขอเสียงจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาอีกครั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีที่เปิดทางให้มี สสร.จากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ก่อนให้รัฐสภาคัดเลือกนั้น ขัดแย้งต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

จุดเสี่ยงด่านต่อไป ที่ไม่ต้องอาศัยมติที่ประชุมรัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพียงแค่เข้าสู่วาระที่ 3 หากเสียง สว.เห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 ก็ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ สสร.คว่ำลงทันที ซ้ำรอยเมื่อปี 2564

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ธงของปีกอนุรักษนิยมเวลานี้ ยึดโจทย์เดิม คือขวางการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเห็นได้จากโมเดล สสร.ของพรรคน้ำเงิน ที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง สสร.โดยตรง แต่ให้รัฐสภาคัดเลือกทางอ้อม 

กลไกรัฐสภามี สว.สายสีน้ำเงินจำนวนมาก จึงมีโอกาสจะได้ สสร.สายน้ำเงิน มาคุมเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เข้าทางตัวเองได้ไม่ยาก

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลานี้ ยังถูกตั้งข้อสังเกตจากคนเพื่อไทยด้วยว่า เป็นเพียงพิธีกรรมเตะถ่วง ซื้อเวลา หลอกคนดู และสีน้ำเงินอาจถูกสีส้มต้ม และพรรคสีส้มอาจถูกสีน้ำเงินหลอก เข้าทำนองบทเพลงดัง “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก ยิ้มข้างนอกช้ำใน”

สัญญา MOA เป็นเพียงสัญญาลมปาก ที่พรรคเพื่อไทยมองในเวลานี้ สองก๊กสองสี ต่างสับขาหลอกคนดู

แม้ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” จะเปิดไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภาจะลงมติวาระที่ 3 ได้ไม่เกินวันที่ 15-20 ธ.ค.2568 และอีกแนวทางอย่างช้าที่สุด คือ เห็นชอบร่างแก้ไขในวาระที่ 3 ภายใน 15-19 ม.ค.2569 แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงจุดล่อแหลมให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ล่มโดยเร็วก่อนยุบสภา นั่นคือ เงื่อนไขการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อนุทิน

เกมนี้ “เพื่อไทย” เลือกใช้วาทกรรมว่า “รอดูเวลาและพฤติกรรมของรัฐบาล” ก่อน แต่ในทางลับ เหตุที่ค่ายแดงยังยื้อเกมรุกไว้ เพราะการจัดทัพผู้สมัคร สส.ไม่สะเด็ดน้ำครบ 400 เขต จึงยังไม่งัดอาวุธ“ซักฟอก”รัฐบาลออกมาใช้ เพื่อล้มนายกฯ อนุทินในเร็วๆ นี้

จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

จุดเสี่ยง สสร.ก๊กส้ม ‘ล่ม-แท้ง’ พท.ลับดาบ‘ซักฟอก’ขู่‘อนุทิน’

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองน่าจะแรงขึ้นในช่วงต้นปี 2569 ถ้าเพื่อไทยใช้เกมยื่นญัตติซักฟอกขึ้นมา หากประธานสภาฯ รับเรื่องและประทับรับเรื่อง บรรจุวาระ เท่ากับว่า “นายกฯ หนู” จะไม่สามารถยุบสภาฯได้ เว้นแต่ญัตติถูกถอนออก

พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องขี่ “พรรคสีส้ม”ที่แสดงบทบาทองครักษ์ อุ้มชูพรรคน้ำเงินไปตลอดรอดฝั่ง เพื่อดิสเครดิตการเมืองพรรคส้มไปในตัว

ขณะเดียวกัน “เพื่อไทย”ยังอ่านเกมว่า “อนุทิน”และพรรคภูมิใจไทย อาจชิงยุบสภาหนีซักฟอก ก่อนที่จะยื่นญัตติอย่างเป็นทางการ คงไม่ปล่อยให้ญัตติซักฟอกเข้าสู่วาระที่ประชุมสภาฯ อันสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นนายกฯ คนแรก ที่ถูกโหวตไม่ไว้วางใจกลางสภาฯ 

ขณะเดียวกัน เพื่อไทยก็ต้องเลือกเดินเกมให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นก่อน เพื่อนำไปสู่การจัดทำประชามติในช่วงวันเลือกตั้ง แม้ประเมินแล้วว่า เป็นเกมยากก็ตาม จากนั้นค่อยมาดูบริบทและพฤติกรรมของรัฐบาล ว่าการใช้ดาบซักฟอกขู่นายกฯ ได้ผลหรือไม่

พิธีกรรมแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดประตูสู่ สสร.นั้น พรรคน้ำเงินจึงต้องประคองสถานการณ์ และอารมณ์ของพรรคสีส้มให้ดี ไม่ให้บาดหมาง แตกหักก่อนถึงสัญญายุบสภา 

โดยเฉพาะกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นตั้ง สสร.มีแนวโน้มถูกคว่ำ สูงพอๆ กับ“นายกฯหนู”ยุบสภาฯ หนีญัตติซักฟอก เพียงแต่ว่า เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อนกัน