จับตา ‘ภูมิใจ’ ถอย เล่นแง่ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ปูทางกินรวบ?

จับตา ‘ภูมิใจ’ ถอย เล่นแง่ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ปูทางกินรวบ?

รัฐสภา รับหลักการ 2 ร่างแก้ รธน. ของ "สีส้ม-สีน้ำเงิน" และเสียงข้างมาก ยกให้ ร่างของ "ปชน." เป็นหลักพิจารณา ต้องจับจังหวะไปต่อของ "ภท." ที่ส่อเล่นแง่ เพื่อปูทางกินรวบ

KEY

POINTS

  • พรรคภูมิใจไทยเสนอท่าทีประนีประนอมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเสนอโมเดลการคัดเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ใหม่
  • ข้อเสนอดังกล่าวคือ ให้ตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เลือก สสร. เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
  • ท่าทีนี้ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เพื่อชิงความได้เปรียบ และอาจนำไปสู่การกินรวบอำนาจ เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในระดับท้องถิ่น
  • ต้องจับตา 43 อรหันต์ ที่จะเกลาเนื้อหา ก่อนส่งให้ "รัฐสภา"​ พิจารณาวาระสอง ภายใต้เวลาที่จำกัด ว่าจะหาทางทำเนื้อหาให้สมประโยชน์ หรือยอมให้บางฝ่ายกินรวบ

รัฐสภาลงมติรับหลักการ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่...) พ.ศ.... ด่านต่อไปคือ การใช้เวที “กรรมาธิการ” (กมธ.) จำนวน 43 คน พิจารณาเนื้อหา เพื่อหลอมรวมให้เป็นฉบับเดียว ก่อนเสนอกลับเข้าสู่รัฐสภาพิจารณาในวาระสอง

ตามไทม์ไลน์ของการแก้ไขครั้งนี้ ที่ “รัฐบาล” วางไว้ และ “รัฐสภา” เห็นใกล้เคียงกัน คือ ต้องเร่งแก้รัฐธรรมนูญ ให้ทัน 2 เดดไลน์ คือ

1.เดดไลน์ ยุบสภา ตามข้อตกลงทางการเมือง ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” กับ “พรรคประชาชน” ซึ่งจะลงล็อกเวลาวันที่ 31 ธ.ค.2568 และ2.เดดไลน์ ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ที่มี 2 คำถามไปในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้ง สส. หลังยุบสภา โดยตามกติกาเลือกตั้ง เมื่อยุบสภา “กกต.” ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 - 60 วัน

กับประเด็นนี้ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” รองนายกฯ บอกต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่า “เมื่อวิเคราะห์แล้ววันที่เหมาะสมที่สุด คือวันอาทิตย์ที่ 29 มี.ค.2569”

จับตา ‘ภูมิใจ’ ถอย เล่นแง่ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ปูทางกินรวบ?

ดังนั้น หากมองงานแก้รัฐธรรมนูญ “กมธ.” ต้องเร่งเคลียร์ความเห็นต่าง และเคาะให้เป็นเนื้อหาเดียว ภายในระยะเวลาเร่งรัด 30-45 วัน นับจากวันที่รัฐสภารับหลักการ

ทว่าในประเด็นการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญไปพร้อมกับวันเลือกตั้ง ยังมีประเด็นต้องลุ้นว่าจะมีจังหวะหายใจโล่งหรือไม่ คือ การประกาศใช้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับแก้ไข ที่ “สภาฯ” แก้ไขรายละเอียดสำคัญ 

ทั้งการเปิดช่องให้ทำประชามติได้ในวันเดียวกับการเลือกตั้ง ที่ปรับเวลายืดหยุ่น ที่ลงล็อกกับการเลือกตั้งทุกระดับ และลดเกณฑ์ความยากของการใช้เสียงข้างมากผ่านประชามติ ซึ่งกฎหมายประชามติฉบับแก้ไขนี้ จะครบกำหนดกระบวนการประกาศใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 11 พ.ย.นี้

ดังนั้น หาก พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับแก้ไข มีผลบังคับใช้ จะทำให้ “กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ” ของรัฐสภาเพิ่มเวลาทำงานอีกประมาณ 20 วัน

อย่างไรก็ดี จากการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภา ช่วงวันที่ 14-15 ต.ค.68 ที่ผ่านมา จะพบว่า “สมาชิกรัฐสภา” ที่ถูกแบ่งกลุ่มให้เป็นขั้ว-เป็นฝ่ายนั้น มีข้อกังวลปนความระแวงว่า “ฝ่ายตรงข้าม” จะแอบซ่อนสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เอาไว้ในร่างแก้ไขฉบับนี้

ทั้งข้อกังวลต่อ การขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การผูกขาดกินรวบจากเสียงข้างมากในสภาฯ การไม่กำหนดบทห้ามแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 รวมไปถึงการไม่ตอบโจทย์ของการแก้ปัญหาประเทศ และการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ไม่ให้อำนาจประชาชนเลือก “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (สสร.) ได้โดยตรง

โดยทั้งหมดนั้นถูกถอดรหัสมาจาก การออกแบบกลไกของ “สสร.” และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ ล้วนแอบซ่อนผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองที่จะได้รับ เพื่อหวังกุมเสียงข้างมากของการออกแบบกติกาประเทศ

ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่ท้าทายไม่น้อยว่า กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ทั้ง 43 คนนั้น จะหาทางเคลียร์คัดประเด็นเพื่อให้สมประโยชน์กันทุกฝ่าย และมีความลงตัวโดยไม่ขัดแย้ง จนทำไปเป็นเหตุให้มีผู้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

กับตัวเลขของ กมธ.ทั้ง 43 คนที่ “พรรคการเมือง” และ “สว.” ส่งเข้ามาทำหน้าที่ แบ่งได้เป็น สส. 31 คน เป็น สส.ฝั่งรัฐบาล 9 คน ขณะที่ “ฝั่งฝ่ายค้าน” 22 คน แบ่งเป็น พรรคประชาชน 9 คน พรรคเพื่อไทย 9 คน พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน พรรคประชาชาติ 1 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน ขณะที่ “สว.” จำนวน 12 คนซึ่ง “สายสีน้ำเงิน” ฮุบโควตาไว้ได้ 10 คน อีก 2 นั้น มาจากสายอิสระ 

จับตา ‘ภูมิใจ’ ถอย เล่นแง่ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ปูทางกินรวบ?

ทว่า เมื่อพิจารณาตัวเลขที่จำเพาะเป็น ฝ่ายที่ต้องการโละรัฐธรรมนูญ ที่เป็นมรดกจากการรัฐประหารที่มี 21 คน (เพื่อไทย-พรรคประชาชน-ประชาชาติ-สว.อิสระ) กับ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ที่ยังสนับสนุน รัฐธรรมนูญ 2560 (สส.รัฐบาล-ประชาธิปัตย์-ชาติไทยพัฒนา-สว.สีน้ำเงิน) ที่มี 22 คน 

จึงเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ว่า หากมีประเด็นที่เห็นต่างกัน และต้องใช้เสียงส่วนใหญ่หาจุดกึ่งกลาง “ฝ่ายอนุรักษ์” อาจจะชนะแบบเฉียดฉิว

และอาจเป็นเหตุที่ทำให้ในชั้นโหวตวาระสาม นั้น “สส. ฝ่ายค้าน” อาจใช้แทกติกทางกฎหมาย เล่นแง่ ไม่โหวตเห็นชอบให้ถึง 20% ก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่ปลายทางของการแก้รัฐธรรมนูญจะรู้ผลว่าเป็นเช่นนั้น ในเวทีรัฐสภา “ภราดร ปริศนานันทกุล” ตัวแทนของพรรคภูมิใจไทย ได้พยายามเสนอวิธีประนีประนอมกับทุกฝ่าย ผ่านการเสนอโมเดล สสร.ใหม่ ที่หลอมรวมทุกสูตรไว้ด้วยกัน

“ให้เอาตัวแทนประชาชนระดับพื้นที่ระดับท้องถิ่นมาเลือก ทั้ง อบต. เทศบาล นายก อบต. ส.ท. มาคิดร่วมกันเพื่อเลือกแต่ละจังหวัด และนำโมเดลของพรรคเพื่อไทยมาใช้ คือ ให้เลือกมาทั้งประเทศ 300 คน จากนั้นให้สภาเลือก 100 คน ส่วนที่กังวลว่าหากรับหลักการร่างของพรรคภูมิใจไทยจะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นสีน้ำเงิน สามารถปรับใช้โมเดล สมัคร 20 หยิบ 1 ของพรรคประชาชนก็ได้”

“ภราดร” ย้ำแนวคิดนี้ว่า “ขอให้หลีกเลี่ยงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ผมขอถอยออกมา หากมองว่าไม่มีส่วนร่วมของประชาชน แต่อย่าให้ประชาชนเลือกเลย เพราะไม่อยากให้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่เสนอแก้ไขมาตรา 256(1) ที่ท้วงนั้น ผมจะเสนอให้ถอนออกในชั้น กมธ.”

จึงถือเป็นทางเลือกที่ “พรรคภูมิใจไทย” เสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา นัยหนึ่งคือ การประกาศต่อสาธารณะให้เห็นด้วยว่า การถอยครั้งนี้ มีเหตุผลที่ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญสำเร็จไปได้ หลังจากที่พรรคภูมิใจไทยถูกกระแสโจมตีว่า เป็นพวก “ภูมิใจขวาง”

จับตา ‘ภูมิใจ’ ถอย เล่นแง่ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ปูทางกินรวบ?

ทว่านัยที่ “ภราดร” เสนอนั้น ยังถือว่าคงความได้เปรียบในขั้นตอนตั้งต้นของ “สสร.” อยู่ดี เพราะ “ภูมิใจไทย” ถือเป็นพรรคที่มีสัดส่วนของ “พวก” ในท้องถิ่นติดอันดับ

ดังนั้นต้องจับตาให้ดีว่า “เวที กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ” ครั้งนี้ จะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร โดยไม่มีฝ่ายใดเล่นแง่ และฮุบเอาแต่ประโยชน์เข้าหาพวกตัวเอง จนทำให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไปไม่ถึงปลายทาง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์