ยุทธศาสตร์ ‘ส้ม’ ล้ม ‘สแกมเมอร์’ ชิงเสียงอนุรักษ์ หักรัฐบาล

ยุทธศาสตร์ ‘ส้ม’ ล้ม ‘สแกมเมอร์’ ชิงเสียงอนุรักษ์ หักรัฐบาล

หมากเกมนี้ที่หวังดึงเสียงจากฝ่ายอนุรักษนิยม จะชนะใจประชาชนในประเทศที่กำลัง “ขวาหัน” ได้หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ฝีมือต่อจากนี้

ประกาศิต “พรรคส้ม” สั่งลุยปราบปราม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์” ให้เหี้ยนจากประเทศไทย ซึ่งถูกมองเป็น “ฮับ” เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีฐานหลักอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน กำลังเป็นยุทธศาสตร์หลักของพรรคประชาชน (ปชน.) โดยมี “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ แกนนำพรรค ปชน.เป็นตัวละครหลักคอยเดินเกม

นับตั้งแต่ “โรม” เปิดตัวละครลับหลังม่านอย่าง “เบน สมิธ” นักธุรกิจเชื้อสายแคนาดา-แอฟริกาใต้-กัมพูชา ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ประเด็นกวาดล้างปราบปราม “อาชญากรรมข้ามชาติ” ก็กลับมาได้รับความสนใจจากทุกองคาพยพในสังคมอีกรอบหนึ่ง

สำหรับ “เบน สมิธ” ถูก “ทอม ไรต์” สื่อมวลชนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “วอลสตรีท เจอร์นัล” หรือ WSJ หนึ่งในนักข่าวที่เปิดโปงการทุจริต เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาของรัฐ 1 มาเลเซีย ดีเวลอปเมนต์ เบอร์ฮัด หรือที่รู้จักกันในชื่อ 1MDB ได้ขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง “เบน สมิธ” กับเครือข่าย “แก๊งสแกมเมอร์” ในกัมพูชา โดยมีตัวละครที่เป็น “นักการเมืองไทย” เข้าไปพัวพันด้วย

เบื้องต้น “นักเลือกตั้งไทย” ที่ถูกพาดพิงในเรื่องนี้ ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์ และการเชื่อมโยงธุรกิจอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว โดยยืนกรานว่า ใครพาดพิงถึงเรื่องนี้ ให้ระวังไปขึ้นศาลที่ จ.พะเยา หรือ จ.นราธิวาส ขณะเดียวกัน “เบน สมิธ” ได้ดำเนินการทางกฎหมาย ฟ้องร้อง “ทอม ไรต์” ที่เขียนเปิดโปงเรื่องนี้ด้วย

สำหรับความสัมพันธ์ลับหลังม่านระหว่าง “เบน สมิธ-เครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์-บิ๊กเนมนักการเมืองไทย” คงต้องรอผลการพิสูจน์ตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกันต่อไป แต่สิ่งที่ต้องโฟกัสกัน ณ เวลานี้ นอกเหนือจากประเด็นชายไทย-กัมพูชา ที่ยังระส่ำระส่ายร้าวลึกอยู่นั้น

ในประเทศไทยเอง ดูเหมือนว่า “ขบวนการชาตินิยม” จะถูกปลุกขึ้นจากเรื่องนี้อย่างรุนแรง เข้าทาง “ฝ่ายอนุรักษนิยม” สบช่องใช้โอกาสนี้ เพื่อหวังเข้ามามีบทบาทในเวทีการเมืองระดับชาติ และระหว่างประเทศอีกครั้ง โดยมี “ภูมิใจไทย” รัฐบาลปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นตัวแทน “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ล้างบางสายสัมพันธ์อันขื่นขมในอดีตระหว่าง “ตระกูลชินวัตร-ตระกูลฮุน” ที่เป็นชนวนสำคัญทำให้ประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดนี้

ด้วยยุทธวิธีของฝ่ายอนุรักษนิยมดังกล่าว ที่เลือก “ก๊กน้ำเงิน” เป็นม้าใช้ ส่งผลให้ฝ่าย “ขวากลาง” อย่าง “ก๊กแดง” ดูเหมือนจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองอย่างหนัก 

ทั้งทายาทตระกูลชินวัตรรุ่น 3 อย่าง “แพทองธาร” ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯ จากกรณีคลิปเสียงฉาวกับ “ฮุน เซน” แถมผู้เป็นบิดาอย่าง “ทักษิณ” ถูกศาลฎีกาบังคับโทษให้กลับไปจำคุก 1 ปี จากคดีทุจริต โดยตอนนี้ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม 

ทำให้ “เพื่อไทย” เลือดไหลออกอย่างหนัก มีข่าวแทบจะรายวันว่า “บิ๊กเนมในพรรค” เตรียมหอบผ้าผ่อนย้ายไปสังกัดพรรคอื่น โดยเฉพาะในขั้ว “ก๊กน้ำเงิน”

ในส่วนของ “ก๊กส้ม” ดูเหมือนจะมีบทเรียนสำคัญหลังจากถูกยุบพรรค 2 ครั้งในรอบ 7 ปี ทำให้ในยานพาหนะคันที่ 3 อย่างพรรค ปชน. จำเป็นต้องเลี่ยง “ความเสี่ยง” ที่อาจพาพรรคเข้าไปสู่จุดอันตรายอีกครั้ง ถ้าสังเกตจะเห็นได้ค่อนข้างชัดว่า จุดยืนของพรรคในประเด็นความสุ่มเสี่ยงเบื้องสูง เบาลงเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อปลายปี 2567

โดยเฉพาะในประเด็นสุ่มเสี่ยงเรื่อง “ชาตินิยม” ที่พรรคส้มหยิบจับประเด็นดังกล่าวมาใช้งานได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นได้จากแกนนำของพรรคส่วนมาก ไม่ได้โจมตีหรือวิพากษ์วิจารณ์ “กองทัพ” แม้ว่าบทบาทของกองทัพปัจจุบัน ถูกนักวิชาการหลายคนประเมินว่า สุ่มเสี่ยงจะ “ข้ามเส้น” มาฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน มีแค่ สส.ของพรรคบางคน ที่ออกโรงวิจารณ์ แต่ก็ถูกพรรคต้นสังกัดเรียกเข้า “ห้องเย็น” ให้เงียบเสียงลงเกี่ยวกับเรื่องนี้

ทำให้เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า “ก๊กส้ม” เริ่ม “อยู่เป็น” ในประเด็น “2 ใบอนุญาต” แล้ว โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “ฝ่ายค้านข้างมาก-รัฐบาลข้างน้อย” ยอมกลืนเลือดแลกดีลดัน “ก๊กน้ำเงิน” เป็นรัฐบาล ปูทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ ฉบับประชาชน โดยไม่สนใจ “จุดด่างพร้อย” ในเรื่อง “เขากระโดง-ฮั้ว สว.”

ยุทธศาสตร์นี้ “กลุ่มเพื่อนเอก” ไม่ว่าจะเป็น “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ศรายุทธิ์ ใจหลัก” ต่างอธิบายถึงหลักการยอมโหวตพรรคภูมิใจไทย เปิดทางทำรัฐธรรมนูญใหม่ ภายใน 4 เดือน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ขณะเดียวกันท่าทีของ “บิ๊กเนมส้ม” ที่ให้สัมภาษณ์ถึงจุดด่างพร้อยของ “ก๊กน้ำเงิน” ค่อนข้างบางเบาและซ้ำซาก จนโดนวิจารณ์หลายครั้ง

ประเด็น 2 ใบอนุญาตนั้น “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า เคยอธิบายว่า ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต ใบอนุญาตที่ 1 คือจากประชาชน ตามหลักการต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ใบนี้ต้องมี แต่บางประเทศที่อยู่ระหว่างขั้นตอนพัฒนา ก็จะมีชนชั้นนำอยู่เบื้องหลัง เรียกว่ารัฐซ้อนรัฐ อะไรต่าง ๆ และมีโอกาสกำหนดทุกครั้งไปว่าใครจะเป็นรัฐบาล นั่นนำมาสู่ใบอนุญาตใบที่ 2

นัยหนึ่งยุทธศาสตร์นี้หวัง “สางแค้น” ที่ “ก๊กส้ม” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 แต่ “ไม่มีใบอนุญาต” ให้จัดตั้งรัฐบาล จนต้องพ่ายแพ้กลเกมการเมือง “รัฐซ้อนรัฐ” ตกมาเป็นฝ่ายค้าน ทั้งที่ได้ สส.มากสุดในสภาฯถึง 151 เสียง อีกนัยหนึ่ง ถูกมองว่าเป็นการแสดง “ความรอมชอม” เพื่อหวังให้ได้มาซึ่ง “ใบอนุญาตใบที่ 2” หรือไม่

หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อหวังให้ได้มาซึ่ง “ใบอนุญาตใบที่ 2” นี้ คือการชิงฐานเสียงฝ่ายอนุรักษนิยม ที่ยังเป็นประเภท “ขวากลาง” ให้มาเลือก “ก๊กส้ม” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าให้ได้ ยุทธวิธีดังกล่าวคือ การลุยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-สแกมเมอร์ อาชญากรสำคัญ ที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา หากสามารถจัดการได้ ย่อมได้ใจ “ชนชั้นกลาง” หลายคนที่ยังเป็นประเภท “ขวากลาง” เทคะแนนให้ได้

ที่สำคัญการลุยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ซึ่งมีฐานสำคัญในกัมพูชานั้น หากมี “ก๊กส้ม” เข้าไปร่วมมีบทบาทด้วย ย่อมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้พรรคได้ไม่น้อย น่าสังเกตว่าในช่วงหลังเริ่มมี “ก๊กส้ม” หลายคน ออกแอ็คชั่นในเรื่องนี้ จากเดิมที่มีแค่ “รังสิมันต์ โรม-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” เป็นหัวหอก

นอกจากนี้ ยังอาจ “ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว” ด้วยซ้ำ เพราะ 1.ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น จากชาวบ้าน “ชาตินิยม” ที่ยังไม่ “สุดโต่ง” และยังไร้ตัวเลือก ให้หันมาเลือกพรรคส้ม 2.กระทบชิ่งไปยัง “นักเลือกตั้งไทย” ที่อาจมีบาดแผลพัวพันกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ตามที่ “โรม” เคยอภิปรายไปก่อนหน้านี้

ส่วนหมากเกมนี้ที่หวังดึงเสียงจากฝ่ายอนุรักษนิยม จะชนะใจประชาชนในประเทศที่กำลัง “ขวาหัน” ได้หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ฝีมือต่อจากนี้