เปิดข้อกฎหมาย'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นศาลรธน. ปม'สุชาติ' นั่งประธาน ป.ป.ช.

เปิดข้อกฎหมาย'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นศาลรธน. ปม'สุชาติ' นั่งประธาน ป.ป.ช.

เปิดข้อกฎหมาย 'บิ๊กโจ๊ก' ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคุณสมบัติ 'สุชาติ' นั่งประธาน ป.ป.ช. ชี้ต้องใช้กฎหมายเก่า - ใหม่ ควบคู่กันไป

จากกรณีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัตินายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ว่ามีที่มาขัดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 233 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 (พ.ร.ป. ป.ป.ช.)มาตรา 18 วรรคสอง และมาตรา 14 วรรคสาม หรือไม่ เนื่องจาก พ.ร.ป.ป.ป.ช. บัญญัติว่า เมื่อตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.ว่างลง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เลือกตั้งประธานป.ป.ช. จากคณะกรรมการป.ป.ช. ทั้ง 7คน

รายงานจากสำนักข่าวคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แจ้งว่า การที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่าคณะกรรมการป.ป.ช.บางคน พ้นวาระเเละไม่สามารถลงมติเลือกนายสุชาติ เป็นประธานป.ป.ช.คนใหม่เเทนพล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ที่พ้นตำเเหน่งทันทีเมื่ออายุครบ 70 ปี อาจให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนเเละยื่นคำร้องที่ไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย
 

ทั้งนี้เนื่องจากนายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ  ครบวาระการดำรงตำเเหน่ง (9 ปีตามกฎหมายปปช.ฉบับเก่าก่อนที่จะเเก้ไขให้เหลือ 7 ปี) เเต่ยังทำหน้าที่กรรมการป.ป.ช.ต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา233 ระบุว่า “กรรมการปปช.มีวาระการดำรงตำเเหน่ง7ปีนับเเต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงเเต่งตั้งเเละให้ดำรงตำเเหน่งได้เพียงวระเดียว ในระหว่างที่กรรมการปปช.พ้นจากตำเเหน่งก่อนครบวาระเเละยังไม่มีการเเต่งตั้งเเทนตำเเหน่งที่ว่างลง ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าทึ่ต่อไปได้เว้นเเต่จะมีกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน” 

เเละมาตรา 18 ของพรป.ปปช.ระบุว่า“กรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งเ7ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการใหม่แทน” นั้น กฎหมายปปช.ฉบับเก่ากำหนดให้นายวิทยาและนางสุวณา ทำหน้าที่กรรมการป.ป.ช.ต่อไปได้ในตอนนั้นจนกว่าจะมีการโปรดเกล้าฯกรรมการป.ป.ช.คนใหม่  

โดยกฎหมายป.ป.ช.ฉบับเก่าที่ใช้บังคับตอนที่นายวิทยา และนางสุวณา มาทำหน้าที่กรรมการป.ป.ช.นั้น กฎหมายระบุว่าวาระดำรงตำแหน่ง 9 ปี ทำให้การเข้ามาทำหน้าที่กรรมการป.ป.ช.ของแต่ละคน แตกต่างกันบนเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ บทเฉพาะกาล ในแต่ละฉบับ ประกอบกับมีกรรมการป.ป.ช.พ้นวาระ ตามคุณสมบัติเรื่องอายุ และวาระที่แต่งตั้งเข้ามาทำงานไม่พร้อมกัน จึงทำให้ การพ้นวาระการทำหน้าที่แตกต่างกัน
 

ขณะนั้นพบว่าพล.ต.อ.วัชรพล นางสุวณา นายวิทยา ได้ทำหน้าที่กรรมการป.ป.ช.จากความเห็นชอบจาก สมานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. เป็นนายกรัฐมนตรี กระทั่งในเวลาต่อมาทั้งสามคนได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งพร้อมกันในวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ทำให้ทั้ง 3 คนมีวาระการทำหน้าที่ยาวนานกว่าคนอื่น 9 ปี ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2567

แหล่งข่าวระบุว่าต่อว่า หากนายวิทยา นางสุวณา ครบวาระแต่ทั่ง 2 คนอายุยังไม่ถึง 70 ปี ทำให้ทั้ง 2 คน ทำหน้าที่กรรมการปปช.ต่อไปได้จนถึงอายุ 70 ปี หากครบอายุ 70 ปีแล้ว ก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้ ดังนั้นเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2568 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติ 5 ต่อ 2 เสียง เลือกนายสุชาติเป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ 

ต่อมาวันที่ 12 ก.พ. 2568 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือแจ้งถึง นายสุชาติ ให้รับทราบว่า ขณะนี้มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ นายสุชาติ เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช.แล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป ดังนั้นกรณีของนายวิทยา และนางสุวณา ที่ยับเป็นกรรมการป.ป.ช.ในขณะเลือกประธานปปช. ทั้ง 2 คนอายุยังไม่ครบ 70 ปีจึงมีสิทธิ์เลือก

ดังนั้นการลงมติของคณะกรรมการป.ป.ช. วันที่ 5 ก.พ. 2568 จึงเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 232 ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ทุกประการ ทำให้คำร้องล่าสุดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อาจไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย ข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความคืบหน้าการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ ต้องติดตามว่า สว. จะบรรจุวาระการประชุมเพื่อลงมติในการให้ความเห็นชอบ/ไม่เห็นชอบ/งดออกเสียง ให้นายมนูภาน ยศธเเสนย์ และนายสุชาติ สุนทรีเกษม เข้ามาเป็นกรรมการปปช.เเทน พล.ต.อ.วัชรพล และนางสุวณา หาก สว. มีมติให้ความเห็นชอบ ประธานวุฒิสภา จะมีการทูลเกล้าฯรายขื่อตามลำดับ