ผ่า2ปมส่อกระทบไทม์ไลน์‘ยุบสภา’ ลุ้นโหวตรับ 3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญ

ผ่า2ปมส่อกระทบไทม์ไลน์‘ยุบสภา’ ประชุมรัฐสภา 14-15 ต.ค. - ลุ้นโหวตรับ 3 ร่างแก้รัฐธรรมนูญ หวั่น “นักร้อง” ยื่นศาลรธน. - พ.ร.บ.ประชามติ ยังไม่บังคับใช้
KEY
POINTS
- การประชุมรัฐสภาจะพิจารณาโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ซึ่งร่างของพรรคประชาชนมีความเสี่ยงถูกคว่ำเนื่องจากประเด็นที่มาของ สสร. อาจขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
- พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับแก้ไขที่ยังไม่มีผลบังคับใช้ อาจกระทบกรอบเวลาการทำประชามติให้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งหลังยุบสภา
- ทั้งสองประเด็นอาจทำให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญล่าช้า และส่งผลกระทบต่อเงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือนตามข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาล
นัดหมายประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 วันที่ 14-15 ต.ค. โดยมีร่างของพรรคภูมิใจไทย , พรรคประชาชน และ พรรคเพื่อไทย ถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาวาระแรก
โดยที่ประชุมร่วมรัฐสภา จะต้องโหวตรับแบบขานชื่อว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการร่างใดบ้าง คาดว่าน่าจะใช้เวลากว่า 3-4 ชั่วโมง จากนั้นหากมีร่างใดร่างหนึ่งผ่านการพิจารณา จะเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม สส. - สว. เพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สำหรับข้อตกลงของ “คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐสภา” เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา จะให้พิจารณาเนื้อหาของทั้ง 3 ญัตติ โดยมีแนวพิจารณาต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 18/2568 ที่วางเงื่อนไข ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องเป็นไปตามหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และรัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
หากย้อนไปในช่วงก่อนโหวตเลือก อนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งนายกฯ เงื่อนไขหลักที่ระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน นอกจากการยุบสภาภายใน 4 เดือนแล้ว ยังมีปมสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระบุเอาไว้เป็นเงื่อนไขหลักด้วย
อย่างไรก็ตาม “คนการเมือง” เริ่มจะเห็นเค้าลางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่อาจจะช้ากว่า วัน ว. เวลา น. ที่ “พรรคประชาชน” คาดการณ์เอาไว้ ก่อนจะตกผลึกเป็นเงื่อนไขยุบสภา 4 เดือน
ปมแรกต้องลุ้นการพิจารณาญัตติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่าใน 3 ร่างของ 3 พรรค จะมีร่างใดร่างหนึ่งผ่านการพิจารณาวาระแรกอย่างแน่นอน โดยจะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา และต้องมีเสียงของ สว. ไม่น้อยกว่า 67 เสียง
ร่างของ “พรรคภูมิใจไทย” ระบุที่มาของ "สสร." ให้มาจากจังหวัด 77 คน อีกส่วน 22 คน มาจากการเลือกของ รัฐสภา แต่กำหนดสเปค ให้มาจากผู้เชี่ยวชาญสาขากฎหมาย รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินหรือการร่างรัฐธรรมนูญ
ร่างของ “พรรคประชาชน” เสนอให้มีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีม และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน
พร้อมกำหนดให้มี “สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ” 100 คน มาจากเลือกตั้งโดยประชาชน 100% พร้อมวางเงื่อนไขให้มีตัวแทนจากทุกจังหวัดเข้าไปทำหน้าที่
ร่างของ “พรรคเพื่อไทย” เสนอโมเดลที่มา ของ สสร. 151 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจำนวน 100 คนแรก มาจากการเลือกตั้งตรงโดยประชาชนของแต่ละจังหวัด ก่อนส่งชื่อให้ “สมาชิกรัฐสภา” คัดสรร อีก 51 คน คัดเลือกจาก 14 กลุ่มองค์กร
โฟกัสหลักให้น้ำหนักไปที่ร่างของ “พรรคภูมิใจไทย” เนื่องจากมีเสียง สส. และ สว. ให้การสนับสนุน โดยคาดว่า “พรรคประชาชน” และ “พรรคเพื่อไทย” จะช่วยเทคะแนนให้ด้วย
เช่นเดียวกับร่างของ “พรรคเพื่อไทย” มีโอกาสผ่านเช่นกับ เนื่อง “สว.” ส่งสัญญาณพร้อมโหวตรับร่างวาระแรก เนื่องจากที่มาของ “สสร.” ไม่ขัดกับแนวทางคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
แต่อาจจะมีมีปัญหาคือร่างของ “พรรคประชาชน” เนื่องจากมี สว. การแก้หมวด1 หมวด 2 และประเด็นการเลือก “สสร.” ซึ่งให้ประชาชนเลือกโดยตรง ซึ่งขัดกับคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ”
“พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์” สว. โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ระบุว่า ตนยังติดใจร่างของพรรคประชาชน เพราะมีการแก้หมวด 1 หมวด 2 ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว และอีกประเด็นคือการเลือกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
“โดยตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าห้ามเลือกโดยตรงจากประชาชน ซึ่งในร่างของพรรคประชาชนจะมี 2 ประเด็นนี้เป็นหลักที่ติดใจ แต่มีประเด็นอื่นที่ดี ก็อาจจะต้องเอามาใช้บ้าง”
ทว่าการคว่ำร่างของ “พรรคประชาชน” จะทำให้ “รัฐบาลอนุทิน” ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทันที เพราะหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติ เมื่อ “พรรคประชาชน” ไม่มีเงื่อนไขต้องอยู่ในสถานะ “ฝ่ายค้ำ” อีกต่อไป เนื่องจากการผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ จึงคาดการณ์ว่าอาจจะผ่านร่าง “พรรคภูมิใจไทย - พรรคประชาชน” เพื่อยื้อเวลา “รัฐบาลอนุทิน” ออกไป
โดยหลังจากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของ “กมธ.” โดยมีสัดส่วนของ สส. - สว. ซึ่ง “เครือข่ายสีน้ำเงิน” จะถือไพ่เหนือกว่าในการคุมเสียง เพื่อปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญให้ตอบโจทย์ “บิ๊กสีน้ำเงิน” มากที่สุด
ขณะเดียวกันต้องรอลุ้นอีกว่า จะมี “นักร้อง” หยิบปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะที่มาของ “สสร.” ไปร้องต่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” อีกหรือไม่ เพราะหากมีการร้องขึ้นมากอีก อาจจะกระทบต่อกรอบไทม์ไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปมสอง “พ.ร.บ.ประชามติ” ฉบับแก้ไขยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้กระบวนการที่คาดการเอาไว้ในไทม์ไลน์อาจจะต้องขยับออกไป
ว่ากันว่าปมร้อน “พ.ร.บ.ประชามติ” ทาง “พรรคประชาชน” เตรียมแผนสำรอง เพื่อหาทางลงเอาไว้แล้ว หากถูกยื้อจนต้องสิ้นสภาพทางกฎหมาย อาจจะมีปฏิบัติการบางอย่างออกมา
สาระสำคัญที่สุดสำหรับ “พ.ร.บ.ประชามติ” ที่จำเป็นต้องใช้คือการกำหนดระยะเวลาทำความเข้าใจกับประชาชน ในเนื้อหาที่ต้องทำประชามติ กฎหมายตัวเก่ากำหนดให้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 90 กฎหมายใหม่กำหนดเอาไว้ให้ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่เกิน 150 วัน
แน่นอนว่าการทำ “ประชามติ” ไปพร้อมกับการเลือกตั้งกรอบ 60 – 150 วัน อยู่ในห้วงเดียวกับการยุบสภา พร้อมจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยจะต้องใช้เวลา 45 – 60 วัน แต่หากจำเป็นต้องใช้กรอบ 90 วัน ตามกฎหมายเก่า อาจจะทำประชามติควบคู่กับการเลือกตั้งไม่ได้ นอกเสียจากจะเคาะจบประเด็นทำประชามติก่อนยุบสภาอย่างน้อย 30 วัน
เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีเงื่อนไขที่จะเป็นอุปสรรค อาจจะต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 4 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อ MOA ที่ “นายกฯอนุทิน” ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน จึงต้องจับตาว่า “พรรคภูมิใจไทย” กับ “พรรคประชาชน” จะเตรียมทางออกเอาไว้อย่างไร







