‘พิชิต’ เขียนหนังสือความยุติธรรมหล่นหาย ปูด กกต.อุ้มคดีฮั้ว สว.

”พิชิต“ เปิดตัวหนังสือ ”ความยุติธรรมที่หล่นหาย“ อึดใจตนเอง-เศรษฐา ไม่ได้รับความยุติธรรม แฉคดีฮั้ว สว.มีจิ้งจกใน กกต.ทัก คาดคดีไม่ถึงศาลฎีกาในปีนี้
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดตัวหนังสือ “ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ภายในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–19 ต.ค. 2568 ทั้งนี้มีประชาชนร่วมรับฟังเวทีเสวนา ขณะที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทยมาร่วมให้กำลังใจนายพิชิตด้วย
โดย นายพิชิต กล่าวในเวทีเสวนา “ให้ความยุติธรรมผลิบาน ความยุติธรรมที่หล่นหาย” ตอนหนึ่งว่า การเขียนหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือเป็นการใส่ร้ายโดยปราศจากความเป็นจริง หรือความเห็นต่างทางกฎหมาย ตนเองอยากทำหนังสือสักเล่มหนึ่ง เจตนาแรกเพื่อทำไว้ให้ลูกหลานแจกในงานศพว่า ความยุติธรรมมันหล่นหายไปจากผู้ล่วงลับ แต่เมื่อมานั่งคิดดูเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จึงคิดว่าจะนำหนังสือนี้มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ
ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดมาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสิ้น 16 บท ตั้งแต่การศึกษา การทำงานก่อนจะมาพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยเป็นทนายความต่อสู้คดีที่ดินรัชดาเมื่อปี 2551
นายพิชิต ระบุว่า คนพาไปพบ นายทักษิณ คือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ทำให้ตนได้รู้จัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นครั้งแรก ในตอนนั้นและพาตนไปพบกับนายทักษิณ ที่เกาะฮ่องกง และเมื่อตนได้ดูข้อกฎหมายข้อเท็จจริง แล้วก็คิดว่าตนจะดังแน่ โดยมั่นใจว่าจะทำให้คดีที่ดินรัชดาหลุดแน่นอน
ขณะเดียวกัน นายพิชิต ยังเล่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ โดยยืนยันว่า การถูกศาลฎีกาฯ สั่งจำคุกในคดีละเมิดอำนาจศาลเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อปี 2551 และถูกกล่าวหาว่าเป็นทนายถุงขนม 2 ล้านบาทนั้น ตนไม่เคยถือถุงขนมเงิน 2 ล้านขึ้นศาลแต่อย่างใด ทั้งนี้ ถ้าใครมีพยานหลักฐาน ว่าตนถือถุงเงินด้วยตัวเอง ตนจะมีรางวัลให้ ดังนั้นใครมีหลักฐานขอให้หาหลักฐานมาด้วย แต่หากไม่มี ตนขอความเมตตาให้จบเรื่องนี้เสียที เพราะที่ผ่านมามีวาทกรรมกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งคนที่เกี่ยวข้องกับถุงเงินก็บอกแล้วว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“การกล่าวหาว่าผมเป็นตัวการร่วม เป็นสิ่งที่คาใจ เป็นความยุติธรรมที่หล่นหาย แต่คำวินิจฉัยของศาลฎีกาไม่รู้ว่ามีวาระทางการเมืองหรือไม่ ไม่อาจหยั่งรู้ใจได้ การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 กับประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นเรื่องพิสดาร ไม่มีคดีใดในประเทศไทยที่ทำเช่นนี้ ผมเป็นคนเดียวในประเทศไทยที่ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ” นายพิชิตระบุ
นายพิชิต ยังระบุถึงการแต่งตั้งตนเองเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ว่า ก่อนตนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี นายทักษิณไม่ได้เป็นคนแต่งตั้งตนเองเป็นรัฐมนตรีตามคำกล่าวหาของกลุ่ม 40 สว. ที่บอกว่านายทักษิณเรียกนายเศรษฐา ไปให้แต่งตั้งตนถึง 3 ครั้ง และนายเศรษฐาเป็นคนตั้งตนเป็นรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
"เรื่องนี้ผมกล้าพูดวันที่ตั้งผม นายกฯเศรษฐา โทรหาผมมาหาที่ห้องทำงานหน่อย ผมออกจากตึกข้างทำเนียบฯ เดินไป ท่านบอกรอบนี้ให้ผมเป็นรัฐมนตรี นายกฯ ทักษิณไม่ได้เป็นคนแต่งตั้ง นายกฯ เศรษฐา พูดว่า ท่านทักษิณไม่ได้ตั้งคุณพิชิต คนที่ตั้งคือผม ถ้าผมพูดผิดไปให้มีอันเป็นไปตั้งแต่บัดนี้เลย นายกฯเศรษฐา พูดอย่างนี้“
อย่างไรก็ดี ตนเคารพนายทักษิณ ก็ได้มีโอกาสโทรไปเพื่อกราบขอบคุณนายทักษิณ ว่าชีวิตตนเริ่มจากท่าน เคยทำงานกับนายทักษิณ ก็บอกตนว่า ไม่ได้เป็นตั้งรัฐมนตรี แต่เป็นนายเศรษฐาเป็นคนตั้ง ตนบอกไม่เป็นไร แล้วก็บอกนายทักษิณ ว่าจะเข้าไปกราบขอพร ตนตื๊ออย่างนี้ นายทักษิณ ยังคงบอกให้ไปขอบคุณนายเศรษฐา ดังนั้น การตัดสินใครซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ควรฟังความให้สิ้นกระแสความ ความยุติธรรมที่หล่นหายไปจากตนและนายเศรษฐา เมื่อเกิดเรื่องตนจึงลาออกจากรัฐมนตรี ตนผ่าทางตันลาออกจากรัฐมนตรีทันที แม้ตนจะถูกจำหน่ายคดีในภายหลังลาออกรัฐมนตรีหลังทำหน้าที่เพียง 24 วัน
”ความยุติธรรมหล่นหายไม่ใช่ตัวผม นายกฯ เศรษฐาซึ่งพ้นตำแหน่งนายกฯ ด้วยข้อกล่าวหาไม่ซื่อสัตย์สุจริต เสมือนเป็นการถูกประหารชีวิต ผมเสียดายที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้นายเศรษฐาพูดต่อศาล 15 นาที ท่านดูเปาบุ้นจิ้นจะสั่งประหารชีวิตใคร เปาบุ้นจิ้นยังบอกเปิดศาล นี่คือความยุติธรรมหล่นหายของนายเศรษฐา ทำให้ไม่สามารถกลับมาบริหารแสนสิริได้ นี่คือแรงจูงใจที่ผมทำหนังสือเล่มนี้ ที่ผมให้ความเคารพนายกฯ ท่านนี้“
ในช่วงท้าย นายพิชิต ยังระบุถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่จำหน่ายคดี นายภูมิธรรม เวชยชัย ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ขณะเป็น รมว.ยุติธรรม ซึ่งถูกกล่าวหาแทรกแซงในคดีฮั้ว สว. อันเป็นการครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักแยกอำนาจ และหลักนิติธรรม ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ ว่า กรณีคดีของตน ศาลรัฐธรรมนูญเคยสั่งจำหน่ายคดีไปเมื่อตอนลาออกจากรัฐมนตรี เป็นเหตุให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ศาลไม่นำมาพิจารณาต่อ แต่กรณีนายภูมิธรรมและ พ.ต.อ.ทวีแม้จะสิ้นสุดตำแหน่งรัฐมนตรี แต่คดีจะมีการพิจารณาต่อไป ทั้งที่ทั้งสองคนไม่สามารถไปแทรกแซงการทำงานของ กกต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้แล้ว
ส่วนจะแตกต่างจากตนหรือไม่ ก็สิ้นสุดรัฐมนตรีเหมือนตน ถามว่าตอนนี้สิ้นสุดรัฐมนตรีแล้ว อีกทั้งประเด็นที่จะวินิจฉัยไม่มีแล้วที่จะไปแทรกแซงการทำงานดีเอสไอและศาลรัฐธรรมนูญก็เคยสั่ง พ.ต.อ.ทวี ห้ามแทรกแซงการทำงานของดีเอสไอ ประเด็นนี้ควรถกกันในที่สาธารณะ โดยตนไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นดูแคลนศาลแต่อย่างใด
“คดีฮั้ว สว. มีจิ้งจกที่ กกต. บอกมาว่าจะใส่ตู้เย็นไว้ ความยุติธรรมตามธรรมชาติ กกต. ต้องตอบมาว่าเมื่อตั้งตัวแทน 7 คนมานั่งพิจารณา หลังจากที่คณะอนุกรรมการฯ ชุดที่ 26 มีคำวินิจฉัยแล้ว ทำไมตัวแทนของพวกคุณไม่ประชุมกันในเดือน ต.ค. คาดคะเนว่าในปี 2568 คงไม่ไปถึงศาลฎีกา ในชีวิตผม ผมร้องเพลงพี่มีแต่ให้ ผมไม่เคยคดโกงใครขอให้จบเรื่องส่วนตัว"
นายพิชิต ย้ำว่า ประเทศนี้มีคนอยู่ 2 กลุ่มในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาตนถูกกระทำ ได้จดบันทึกไว้ กลุ่มแรกคือกลุ่มที่กระบวนการยุติธรรมเอื้อมมือจับง่ายมาก ตนเองก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้ แต่อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคดีอีกประเภทหนึ่ง กระบวนการยุติธรรมเอื้อมไม่ถึงเสียที บางครั้งเอื้อมถึงแต่เมื่ออ่านคำพิพากษาก็รู้ว่าสองมาตรฐาน
นายพิชิต ระบุว่า อีกประเด็นเรื่องในประเทศน่ากลัวมาก คือองค์กรอิสระ ศาล ถือเป็นองค์กรอิสระที่อิสระจริงหรือไม่ ตนไม่มีอำนาจวาสนามา 1 ปีกว่า แต่เวลาที่สรรหาคนเข้าไปเป็นองค์กรอิสระ ทำไมถึงมีการโทรมาหาตนเพื่อขอให้ช่วยในการสรรหาองค์กรอิสระ ซึ่งตนได้บอกถึงคนที่โทรมาว่าตนช่วยไม่ได้ เป็นเรื่องของกรรมการสรรหา
"แต่มีเวลาที่สรรหาบุคคลเข้าไปเป็นกรรมการ องค์กรอิสระ ทำไมโทรหาพิชิตกันจัง ผมไม่ได้ไปช่วยอะไรเขาได้นะ ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เป็นเรื่องของกรรมการสรรหา เขานินทากันต่อ หลังจากกรรมการสรรหาเสร็จแล้ว จะมีกรรมการที่ไหนไม่รู้ ขอสัมภาษณ์ต่อก่อนส่งเข้าวุฒิสภา นี่พูดถึงความน่าห่วงกังวลที่จะเกิดขึ้น ก็เขานินทานะครับ ผมไม่ยืนยัน ข้อเท็จจริงนี้ ผมว่าสุดท้าย การแก้รัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งใฝ่ฝัน ขอให้เกิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง"
“ชีวิตคนหนึ่งหรือชีวิตของคนหลายคนหรือคนในบ้านเดียวกัน ถ้าไม่ได้รับความยุติธรรมไม่มีใครยอมใครหรอกครับ ผมเป็นคนหนึ่งผมถึงดิ้นรนทำหนังสือฉบับนี้ หมดปัจจัยแต่สู้ ตั้งใจจะแจกในงานศพ ก็เอาแต่เอามาขายในงานหนังสือนี้ก่อน” นายพิชิต ระบุ





