'โรม' ฝากถึง 'ชินวัตร' บอก 'ทักษิณ' แจงปม 'เบน สมิธ' ได้หลังออกคุก

'โรม' ฝากบอก 'ตระกูลชินวัตร' ถึง 'ทักษิณ' แจงปม 'เบน สมิธ' หลังออกจากคุก รู้จักกันได้อย่างไร ถามรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ ส่อขัดคำแถลงนโยบาย
KEY
POINTS
- นายรังสิมันต์ โรม สส.ปชน. ฝากถึงครอบครัวชินวัตร บอกนายทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงความสัมพันธ์กับนายเบน สมิธ ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ หลังจากพ้นโทษแล้ว
- การเรียกร้องนี้สืบเนื่องจากการที่นายรังสิมันต์อ้างคำพูดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ระบุว่านายทักษิณเป็นผู้แนะนำให้รู้จักกับนายเบน สมิธ
- นายรังสิมันต์ ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงฯ กำลังตรวจสอบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เชื่อว่านายเบน สมิธ มีส่วนเกี่ยวข้อง และเชื่อมโยงกับนักการเมืองไทย
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคประชาชน (ปชน.) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการตรวจสอบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไหร่ ว่า ตอนนี้เราใช้กลไกของกรรมาธิการฯ หลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะมีการใช้กลไกอื่นหรือไม่ แต่ตนเน้นย้ำว่าตราบใดที่กลไกกรรมาธิการไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี พรรคประชาชนมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับกลไกต่างๆ เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบที่เข้มข้นมากขึ้น
“ถ้ามันจบง่ายๆ โดยที่รัฐมนตรีมาชี้แจงเอาข้อมูลพยานหลักฐานที่ท่านมีมาเสนอต่อกรรมาธิการ ช่วยกันปราบปราม เราไม่มีความจำเป็น แต่ ณ วันนี้ กลไกต่างๆมันไม่ฟังก์ชัน รัฐบาลเงียบ นายกเงียบ จนผมเริ่มแปลกใจว่าตกลงท่านมองเรื่องเหล่านี้อย่างไร ซึ่งถ้ามันเงียบต่อไปเรื่อย ๆ เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กลไกเครื่องของสภาที่มีอยู่ในการดำเนินการเรื่องนี้ ให้เข้มข้นมากขึ้น ท่านอย่าคิดว่าการเงียบของท่านจะทำให้เรื่องนี้จบ แต่การเงียบของท่านจะทำให้เรื่องนี้นำไปสู่การเทคแอ๊กชั่นของพรรคประชาชนที่มากขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนจะนำไปสู่การซักฟอกหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ณ วันนี้ยังไม่มีการพูดคุย ในเรื่องการเตรียมการซักฟอก ซึ่งถ้าจะจะต้องมีการซักฟอกเรื่องเหล่านี้ ตนคิดว่ามันต้องนำไปสู่การพูดคุยอยู่แล้วและคงไม่ใช่แค่พรรคประชาชนด้วย คงต้องพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้เราอยากจะเห็นรัฐบาลนี้ร่วมมือ ทำงานกับคณะกรรมาธิการมั่นคงแห่งรัฐฯ
ซักอีกว่า ละครที่เหลือ มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตัวละครที่เชื่อมโยงมีมากกว่านั้น จำได้หรือไม่ว่าทีมงานของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรสหกรณ์ เขาพูดว่า นายเบน สมิธ ที่ปรึกษาประธานวุฒิสภากัมพูชา ทำธุรกิจกับนักการเมืองไทยหลายคน แต่ไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมมนัส มันก็ทำให้เราอยากรู้ว่าหลายคนคือใคร ดังนั้น ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบและแสวงหาข้อมูลเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับนายเบน สมิธ น่าเสียดายที่นายทักษิณอาจจะไม่ได้ใช้โอกาสในการชี้แจง
“แต่ถ้ามีโอกาส หากคุณอุ๊งอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ฟังอยู่ หรือคนในครอบครัวชินวัตรฟังอยู่ ผมอยากให้คุณทักษิณได้มีโอกาสชี้แจง ฝากมาได้ ผมเชื่อว่าท่านก็ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ดังนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมอยากเห็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายออกมาพูด ความจริงให้สังคมได้รับรู้ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถ้าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ว่าใครเกี่ยวข้องกับใครบ้าง เหมือนอย่างที่คุณธรรมนัสพูด ต้องชมท่านอยู่อย่างหนึ่งนะครับ ถึงแม้จะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ แต่ท่านบอกเองว่าท่านรู้จักกับเบน สมิธ เพราะคุณทักษิณเป็นคนแนะนำ ก็เป็นหนึ่งในข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เราจะต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองว่าใครเป็นคนแนะนำ แต่เป็นคุณธรรมนัสเป็นคนพูดที่ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างคุณทักษิณ และเบน สมิธ รู้จักกันมานานตั้งแต่ที่ดูไบ” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่าหลักฐาน 48 หน้า และที่แถลงวันนี้ ยังไม่มีอะไรใหม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างประการที่ใหม่ เช่น ตอนนี้ได้พยานหลักฐานที่เป็นเอกสารที่เรียกว่า “ตราตั้ง” ของ ฮุน เซน ต่อ นายเบน สมิธ เลยก็ได้ เอกสารที่มีบริษัทใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายพวกนี้ มีรายชื่อผู้ถือหุ้น มีชื่อบริษัทเป้าหมาย มีบุคคลที่เป็นเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าติดตามไปเรื่อย ๆ วันที่ 30 ต.ค. นี้ เราขยายไปที่ นายวรภัค ธันยาวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
“เราจะขยายไปเรื่อยๆ หลักฐานนี้เราเห็นกำพืดของ นายเบน สมิธ ความยาว 48 หน้า ผมเองยืนยันกับพี่น้องสื่อมวลชนว่าข้อมูลตรงนี้เป็นข้อมูลที่มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าติดตามในการโจมตีที่นำไปสู่คนที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เทียนเทียนเวนเจอร์ มีการจัดการแสดงวิธีการที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ถึงขั้นมีการจ้างดาราเพื่อมาแสดงเรื่องนี้” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่าที่มาของเอกสารสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ได้มีการตรวจสอบว่าพยานหลักฐานข้อมูลหลายหลายอย่างมีหลักฐานประกอบที่น่าเชื่อถือ ดังนั้น ถ้าต้องฟ้องตนในศาล ตนพร้อมที่จะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปนำเสนอต่อศาล รวมไปถึงนำไปสู่การขยายผล เพื่อจะนำไปสู่การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ต่อไป ตอนนี้ข้อมูลไม่ได้แค่ 48 หน้า แต่ไหลมาเรื่อยๆ
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า บริษัทที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่บริษัทพลังงานเพียงอย่างเดียว มีความหลากหลาย บางบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่ ก็มีลักษณะที่คล้ายกับการปกปิดซ่อนตัวเอง บางบริษัทเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน บางบริษัทกลุ่มที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้ มักเป็นกลุ่มที่หน่วยงานของรัฐไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทนั้น แสดงว่ามีความสามารถในการกำกับหรือชี้นำในสัดส่วนหุ้นที่เป็นของรัฐได้ เช่น อาจจะให้พยายามที่ทำให้ประกันสังคมขายหุ้นบริษัทพลังงาน ให้กับกลุ่มทุนนิรนามกลุ่มหนึ่ง เป็นต้น
เมื่อซํกว่า มีข้อสังเกตกลุ่มทุนนี้ อาจจะนำมาสู่ทุนการเมือง ที่นำไปใช้หาเสียงของบางพรรคการเมืองหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่าวันนี้เงินสีเทาเชื่อมกับเว็บพนัน แต่ ณ ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่แค่เว็บพนันแล้ว อาจจะเป็นเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ หรือบางรายที่เปิดกาสิโนอยู่ฝั่งกัมพูชา มันมีข้อเท็จจริงนี้แน่นอน ตนไม่สามารถหารูปถ่ายการขนเงินใส่รถและขนมาได้ แต่ข้อมูลโดยภาพรวมจากการทำงานมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันบ่งชี้ไปที่ข่าวนั้น
เมื่อถามว่าฝั่งกัมพูชา เชื่อมโยงกับฝั่งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดี เมียนมา ที่กำลังกลับมาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า บางส่วนเชื่อมกันอยู่แล้ว เมื่อคุณปิดที่เมียนมา ก็จะย้ายมาที่กัมพูชา เมื่อปิดที่กัมพูชาก็จะย้ายที่เมียนมา ความจริงเป็นแบบนี้ แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียวกันทั้งหมด แต่มีความสัมพันธ์ ในช่วงที่มีการทลายที่เมียนมา สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือฝั่งเมียนมา เขาไม่ได้หยุด เขาขยายต่อแต่จากเดิม จากที่ขยายประชิดชายแดนก็ขยายลึกเข้าไปในประเทศหรือลงใต้ที่พญาตองซู คนที่เราช่วยออกมาไม่ได้เยอะมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด
“ต้องไปตรวจสอบว่ามีการผ่อนปรนหรือไม่ ถ้ามีจริง ต้องดำเนินการกับนายอนุทิน ถ้าเป็นอย่างที่ตั้งคำถามนี้ก็จะขัดต่อคำแถลงนโยบายเอง อย่างไรคงต้องตรวจสอบ แต่ผมคิดว่าลำพังแค่เราตัดไฟ ตัดน้ำมัน และอินเตอร์เน็ต ผมพูดมาตั้งนานแล้วแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ว่าไม่มีทางเพียงพอและสุดท้ายพวกนี้ก็จะปรับตัวได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า กมธ.ความมั่นคงฯ จะประสานกับทางกัมพูชาหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องการประสานงานกับทางกัมพูชาคงไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถทำได้โดยง่าย คิดว่าจะเป็นไปได้ต้องใช้กลไกที่มีอยู่และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาไม่ได้ปกติ ดังนั้น ตนจะใช้เวทีสภาและการประชุมสหภาพรัฐสภาโลก







