บทเรียน ‘พระเครื่องดัง’ ช่องโหว่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.

บทเรียน ‘พระเครื่องดัง’ ช่องโหว่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.

ถึงเวลาแล้วควรมีการ“ปฏิรูป” กระบวนการยื่นบัญชีทรัพย์สินเสียใหม่ หรือออกมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใด มากำกับ-ประเมินมูลค่าจาก “พระเครื่อง-งานศิลปะ-ของสะสม”เหล่านี้

KEY

POINTS

  • การแจ้งบัญชีทรัพย์สินประเภทพระเครื่องของนักการเมืองและข้าราชการเป็นช่องโหว่สำคัญ เนื่องจากไม่มีมาตรฐานกลางในการประเมินมูลค่าที่ชัดเจน ทำให้สามารถแจ้งมูลค่าสูงหรือระบุว่า "ประเมินค่ามิได้"
  • ช่องโหว่ดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการซุกซ่อนทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ ฟอกเงิน หรือปกปิดความร่ำรวยผิดปกติ ดังที่เคยเกิดขึ้นกับนักการเมืองหลายรายในอดีต
  • ป.ป.ช. ยอมรับว่าการตรวจสอบมูลค่าพระเครื่องทำได้ยาก เพราะไม่มีตลาดกลางอ้างอิง ทำได้เพียงตรวจสอบความมีอยู่จริงของทรัพย์สินเท่านั้น
  • บทความเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยสร้างเกณฑ์การประเมินมูลค่าพระเครื่องและของสะสมให้รัดกุม เพื่อป้องกันการใช้เป็นช่องทางทุจริต

ประเด็น “พระเครื่องดัง” ที่กำลังร้อนแรง ขยายผลจากในโซเชียลมีเดีย ไปโผล่ถึงรายการดังอย่าง “โหนกระแส” ออกอากาศถึง 3 วันติดต่อกัน ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามถึง “ช่องโหว่” ของกระบวนการ “การันตี” คุณภาพของพระเครื่องว่าแบบไหน เก๊-แท้ เนื่องจากยังไม่มี “บรรทัดฐาน” อย่างเป็นทางการ อย่างเช่น นาฬิกา เสื้อผ้า หรือเครื่องประดับอื่น ๆ

เงื่อนปม “พระเครื่อง” มิใช่วนเวียนอยู่แค่สังคม “ผู้ศรัทธา” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังลามเข้าไปแทบทุกองคาพยพในสังคม โดยเฉพาะ “ชาวพุทธ” หลายคน เช่ามาถือครองไว้บูชา มาเก็บสะสม หรือบางคนนำมาแลกเปลี่ยนจนร่ำรวยเป็นล่ำเป็นสัน หรือที่เรียกกันว่า “เซียนพระ”

จุดร่วมประการหนึ่งของ “พระเครื่อง” คือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ยากดีมีจน หรือร่ำรวยล้นฟ้า หรือแม้แต่ “ต่างศาสนา” สามารถเก็บ “สะสมพระ” ได้แทบทั้งสิ้น นั่นจึงรวมไปถึงบรรดา “ข้าราชการ-นักการเมือง” ด้วย และหลายครั้งมีการนำไปแจ้งใส่ไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ยกตัวอย่าง “นักเลือกตั้ง” ที่มิได้นับถือ “พุทธ” แต่แจ้งถือครองพระเครื่องไว้ในบัญชี ได้แก่ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” บ้านใหญ่สะแกกรัง สส.ดังหลายสมัย จ.อุทัยธานี และอดีตรัฐมนตรี แจ้งถือครอง “พระเครื่อง” ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน กรณีเข้ารับ-พ้นตำแหน่ง สส. แจ้งถือครองพระเครื่อง 18 องค์ มูลค่า 14,980,000 บาท จากจำนวนทรัพย์สินทั้งสิ้น 147,516,719 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจกว่านั้น มี “นักเลือกตั้ง” กว่าร้อยคน “บิ๊กเนมข้าราชการ” อีกหลายร้อยคน แจ้งถือครอง “พระเครื่อง” ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน มีราคาตั้งแต่หลักหมื่นบาท ถึงหลักหลายสิบล้านบาทต่อองค์ ยกตัวอย่างบุคคลระดับ “อดีตนายกรัฐมนตรี” ของไทย มีหลายคนแจ้งถือครอง “พระเครื่อง” ไว้เคียงคู่บารมี

เช่น “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯคนที่ 30 ถือครองพระเครื่อง-ตะกรุด 6 องค์ มูลค่า 1,622,600 บาท จากทรัพย์สินทั้งหมดกว่าพันล้านบาท “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯคนล่าสุดคนที่ 32 แจ้งถือครองพระ 24 องค์ มูลค่า 92.3 ล้านบาท จากทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 3.9 พันล้านบาท เป็นต้น

ทว่า เงื่อนปมการถือครอง “พระเครื่อง” ของ “นักการเมือง” เคยเกิดปัญหา และถูกตั้งคำถามขึ้นหลายครั้งว่า อาจเป็น “ช่องโหว่” ที่ “นักเลือกตั้ง” ใช้เพื่อ “ฟอกขาว” หลบเลี่ยงการยักย้ายถ่ายเทสมบัติ หรือได้มาซึ่งทรัพย์สินบางอย่างโดยมิชอบหรือไม่ เพราะบางคนไม่ได้ระบุราคาไว้ แต่เขียนกว้าง ๆ ว่า “ประเมินค่ามิได้”

ในส่วนนี้ไม่ใช่แค่ “พระเครื่อง” อย่างเดียว แต่ลามไปถึงบรรดาทรัพย์สินที่เป็นพวก “งานศิลปะ” ต่าง ๆ เช่น ภาพวาด รูปปั้น ฯลฯ โดยกรณีหลังเคยเกิดขึ้นกับ “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีตประธาน นปช.เมื่อครั้งพ้นเก้าอี้ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ครบ 1 ปีเมื่อปี 2556 แจ้งมี พระพุทธรูป โบราณวัตถุ รูปปั้น หัวโขน ฆ้อง เศียรพระ กว่า 429 ชิ้น ไม่ระบุมูลค่า วันเดือนปีที่ได้มา รวมถึงบางชิ้นประเมินราคามิได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ประเด็น “พระเครื่อง” ของนักการเมืองบางคน เคยถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน กรณีกล่าวหาว่าจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หรือร่ำรวยผิดปกติมาแล้วหลายคน 

ยกตัวอย่างนักการเมืองดังในอดีตที่ผ่านมา เช่น “เก่ง-การุณ โหสกุล” อดีต สส.กทม. พรรคเพื่อไทย (ปัจจุบันย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม) เคยโดน ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติกว่า 108 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าพระเครื่องกว่า 90.5 ล้านบาท 

เบื้องต้น “เก่ง” เคยชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้วว่า ทรัพย์สินที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพระเครื่องนั้น เป็นทรัพย์สินเดิมที่มีมากตั้งนานแล้วตั้งแต่สมัยเป็น ส.ก. แต่การยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินที่ผ่านมาต่อ ป.ป.ช. ไม่ได้แจ้งมูลค่าพระเครื่อง เพราะมีราคาประเมินค่าไม่ได้ ปัจจุบันเรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 13 ปีเศษแล้ว ยังไม่มีบทสรุปหรือคำชี้แจงจาก ป.ป.ช.ว่า ผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ยังมี สส.อีกอย่างน้อย 2 คนที่เคยถูกกล่าวหาในประเด็นถือครอง “พระเครื่อง” หลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา ได้แก่ 

“คฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล” อดีตสส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทย แจ้งบัญชีทรัพย์สินกรณีรับตำแหน่ง สส.ปี 2562 ว่า มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,112,531,135 บาท โดยแจ้งถือครองวัตถุมงคล 10 รายการ ในจำนวนนี้มี 2 รายการเป็น “เหล็กไหล” มูลค่ารวมพันล้านบาท ได้แก่ เหล็กไหลช่อ (โคตรเหล็กไหล) 700 ล้านบาท ได้มาเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2537 และเหล็กไหลก้อน (มหาเหล็กไหล) 300 ล้านบาท ได้มาเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2538

อีกคนคือ “เต้-มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แจ้งทรัพย์สินกรณีรับตำแหน่ง สส.ปี 2562 มีภริยา 2 คน รวยกว่า 193 ล้านบาท แจ้งถือครองพระเครื่องดังเพียบ เช่น พระกริ่งปวเรศทองคำ 50 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆัง 40 ล้านบาท พระสมเด็จไกเซอร์ 30 ล้านบาท เป็นต้น

ทั้ง 2 คนยังมิเคยถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.เข้าไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินเชิงลึก หรือตั้งไต่สวนอย่างเป็นทางการในประเด็น “พระเครื่อง” (ยกเว้น คฑาเทพ ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลผิดฐานปกปิดทรัพย์สิน กรณีไม่แจ้งหนี้สิน 8.6 แสนบาท และทรัพย์สินของอดีตภริยา ที่หย่าไปแล้ว แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน) โดย “วรวิทย์ สุขบุญ” เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ขณะนั้น) เปิดเผยว่า เรื่องนี้ ป.ป.ช. จะต้องจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ และเป็นมิติใหม่ของการยื่นบัญชีทรัพย์สิน เพียงเท่านั้น

เลขาธิการ ป.ป.ช.ในช่วงเวลาดังกล่าว (ปัจจุบันเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด) เคยอธิบายหลักการในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงข้าราชการต่าง ๆ นั้น มี 2 ส่วนคือ 

1.ตรวจสอบถึงความถูกต้องของทรัพย์สิน 2.ตรวจสอบความมีอยู่จริงของทรัพย์สิน โดยจะดูว่าทรัพย์สินดังกล่าวนั้นได้มาถูกต้องหรือไม่ มีอยู่จริงตามที่แจ้งหรือไม่ และถูกต้องตามเอกสารแนบที่เป็นรูปถ่ายประกอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่

สำหรับมูลค่าของทรัพย์สินนั้น โดยเฉพาะทรัพย์สินจำพวกเครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่อง ไม่มีตลาดกลางที่ระบุราคาอย่างชัดเจน

ยกตัวอย่าง ถ้าแจ้งว่าครอบครองทองคำ ยังตรวจสอบมูลค่าได้จากตลาดกลางการซื้อขายทองคำ แต่จำพวกของขลังไม่มีตลาดกลางตรงนี้ ดังนั้นการตรวจสอบเบื้องต้นคือดูข้อมูลว่าเจ้าของตีมูลค่ามาจากอะไร ตีค่าจากมูลค่าทางจิตใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ก็ตาม อย่างไรก็ดีกรณีนี้สำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องจับตาดูเป็นกรณีพิเศษรวมถึงวางกฏเกณฑ์ป้องกันให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น

แต่ในอดีตที่ผ่านมา เคยมี “ข้าราชการระดับสูง-บิ๊กเนมการเมือง” อาศัย “ช่องโหว่” ในการได้มาซึ่ง “พระเครื่อง” เข้าไปเกี่ยวพันกับคดีทุจริตประพฤติมิชอบมาแล้ว ยกตัวอย่าง “อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์” คนหนึ่ง เคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป. องค์กรก่อนหน้าที่จะมีการปฏิรูปเป็น ป.ป.ช.ภายหลังรัฐธรรมนูญปี 2540) ทุจริตโครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท

มีการสืบสาวเส้นทางเงิน พบว่า ได้รับเช็คใบหนึ่งมูลค่า 20 ล้านบาท อ้างว่าได้มาจากการซื้อเหรียญรัชกาลที่ 5 หลายเหรียญ รวมทั้งเหรียญทองคำจำนวนหนึ่ง แต่สุดท้ายถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ 49 ล้านบาท ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ริบทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินมาแล้ว

อีกคนหนึ่งคือ “วัฒนา อัศวเหม” บ้านใหญ่ม้าทองคำแห่ง จ.สมุทรปราการ อดีต สส.-รัฐมนตรีหลายสมัย ปัจจุบันหลบหนีคดีทุจริตออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่ดินสาธารณะประโยชน์ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

เจ้าตัวถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 10 ปี แต่ได้หลบหนีไปต่างประเทศก่อนมีคำพิพากษา แต่ที่น่าสนใจในคำพิพากษาตอนหนึ่งระบุว่า วัฒนาได้มอบพระเครื่องผงสุพรรณให้เจ้าหน้าที่ 3 คนเป็นสินน้ำในเพื่อแลกกับการออกโฉนดที่ดิน ดังนั้นจึงสั่งริบพระเครื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ให้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว

ทั้งหมดคือ “ช่องโหว่” ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับ ป.ป.ช.ซึ่งยังไม่มีมาตรการ หรือบรรทัดฐานว่าควรใช้อะไรประเมิน “มูลค่า” อย่างเป็นทางการ เพราะบรรดา “พระเครื่อง-ของสะสม-งานศิลปะ” ส่วนใหญ่มักถูกอ้างว่ามี “คุณค่าทางจิตใจ” ไม่จำเป็นต้องระบุมูลค่า หรือประเมินค่ามิได้

ดังนั้นน่าจะถึงเวลาแล้วที่ควรมีการ“ปฏิรูป” กระบวนการยื่นบัญชีทรัพย์สินเสียใหม่ หรือออกมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใด มากำกับ-ประเมินมูลค่าจาก “พระเครื่อง-งานศิลปะ-ของสะสม”เหล่านี้ วางกรอบป้องกันมิให้“ซ้ำรอย” กับหลายกรณีที่ผ่านมา ๆ

นับเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญในยุคที่ ป.ป.ช.อ้างต่อสื่อว่า กำลังจะกลายเป็น “ยุคใหม่” ต่อจากนี้