อาเซียนซัมมิต ล่ารางวัล‘โนเบล’ เล็ง‘กฎอัยการศึก’ รุกไล่กัมพูชา

การประชุมอาเซียนซัมมิต ปลายเดือน ต.ค. ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ดังนั้นสถานการณ์อาจยังไม่ถึงจุดแตกหัก เว้นแต่ 10 ต.ค.เกิดเหตุพลิกผันชายแดนจ.สระแก้ว มีกฎอับการศึกรอไว้อยู่แล้ว
KEY
POINTS
- เหตุผลหนึ่ง ผบ.เหล่าทัพ มีมติใช้ กฎอัยการศึก ผลักดันชาวกัมพูชาจาก3พื้นที่จ.สระแก้วเนื่องจากคุ้มครองการปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐ100%
- การเข้าปฏิบัติการผลักดันชาวกัมพูชา ยังอยู่กับสถานการณ์หน้างาน ปัจจัยเอื้ออำนวย รวมถึงสถานการณ์การเมืองโลก
การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่จัดขึ้น กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในระหว่าง 26-28 ต.ค.2568 เป็นได้ทั้งเวทีเร่งเร้า หรือชะลอการผลักดันชาวกัมพูชาออกจาก 3 พื้นที่รุกล้ำอธิปไตยไทย จ.สระแก้ว
สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ยื่นคำขอให้จัดพิธีลงนาม “ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา” ในเวทีอาเซียนซัมมิต หวังสร้างภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำสันติภาพเสริมความชอบธรรมในการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศระงับการเจรจาภาษี ของไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุสู้รบอย่างรุนแรงในพื้นที่ชายแดนตลอด 5 วันช่วงต้นเดือนส.ค.2568 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต หลายราย
เป็นที่มาสร้างแรงกดดันให้ 2 ประเทศทำข้อตกลง ยุติการยิง โดยมี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย
ทว่า ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ยังไม่คลี่คลาย กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายยังคงตรึงกำลังเข้มข้นในพื้นที่ ส่วนรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศถูกประชาชนกดดัน ไม่ให้อ่อนข้อเรื่องเขตแดน
โดยปัจจุบัน น้ำหนักสถานการณ์คุกรุ่นบริเวณชายแดน จ.สระแก้ว ภายหลังอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เชิญ ผบ.เหล่าทัพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เมื่อ 3 ต.ค.
ที่ประชุม สมช.มอบหมายกองบัญชาการกองทัพไทย พิจารณาเรื่องการใช้กฎหมายบังคับใช้กับชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทยใน 3 พื้นที่ จ.สระแก้ว บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง และอ.ตาพระยา รวมกว่า 200 ครัวเรือน
พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทหารสูงสุด เรียกประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร วาระพิเศษ โดยมี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟืองจันทร์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ.และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ร่วมประชุม
จากนั้น มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำอธิปไตย 3 แนวทาง
1.ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอนุโลม เพื่ออำนวยความสะดวก และมีความรัดกุมในการปฏิบัติ
2. ให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจัดทำแผนปฏิบัติการ ระเบียบปฏิบัติประจำ และกฎการใช้กำลังที่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎหมายของไทย
3.ขอให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่างๆ รวมทั้งกำลังประจำถิ่น สนับสนุนกำลังเพื่อเข้าร่วมการปฏิบัติกับฝ่ายทหาร
สำหรับกฎอัยการศึก บังคับใช้ในพื้นที่ชายแดนอยู่แล้ว โดยทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย ดังต่อไปนี้
1.อำนาจตรวจค้น (มาตรา 9) ไม่ว่าที่ตัวบุคคล ยานพาหนะ เคหะสถาน สิ่งปลูกสร้าง หรือที่ใดๆ และไม่ว่าเวลาใดๆ โดยสิ่งที่ตรวจค้นได้ อาจเป็นสิ่งของที่ต้องห้าม ต้องยึด หรือสิ่งของที่มีไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรวจข่าวสาร จดหมาย โทรเลข หีบ ห่อ หรือสิ่งอื่นใด ที่ส่งหรือมีไปมาถึงกันในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก และตรวจหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ภาพ โฆษณา
2.อำนาจเกณฑ์ (มาตรา 10) ทหารมีอำนาจเกณฑ์พลเมืองให้ช่วยกำลังทหาร เพื่อป้องกันราชอาณาจักรหรือเพื่อช่วยเหลือภารกิจราชการทหารก็ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเกณฑ์ยวดยาน สัตว์พาหนะ เสบียงอาหาร อาวุธ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างซึ่งราชการทหารต้องใช้ในเวลานั้น
3.อำนาจห้าม (มาตรา 11)มั่วสุมประชุมกัน ออก จำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ โฆษณา แสดงมหรสพ รับหรือส่งซึ่งวิทยุ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ใช้ทางสาธารณะเพื่อการจราจร มีหรือใช้เครื่องมือสื่อสารหรืออาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ และเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์สิน
บุคคลออกนอกเคหะสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด
บุคคลเข้าไปหรืออาศัยอยู่ในเขตท้องที่ใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเมื่อได้ประกาศห้ามเมื่อใดแล้ว ให้ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตนั้นออกไปจากเขตนั้นภายในกำหนดเวลาที่ได้ประกาศกำหนด บุคคลกระทำหรือมีซึ่งกิจการหรือสิ่งอื่นใดได้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำหนดไว้ว่าควรต้องห้ามในเวลาที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก
4 .อำนาจยึด (มาตรา 12) หากทหารเห็นว่าจำเป็น จะยึดสิ่งที่ได้จากการตรวจค้น การเกณฑ์ หรือการห้ามไว้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้เป็นประโยชน์ต่อศัตรู หรือเพื่อประโยชน์ต่อราชการทหารก็ได้
5.อำนาจเข้าอาศัย (มาตรา 13) ทหารมีอำนาจเข้าพักอาศัยที่ใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อราชการทหาร
6.อำนาจทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ (มาตรา 14) ในกรณีที่มีสงครามหรือสู้รบกับศัตรู ทหารมี
อำนาจเผาบ้านและสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อศัตรู รวมถึงสิ่งที่กีดขวางการสู้รบ และมีอำนาจสร้างที่มั่น ดัดแปลงภูมิประเทศหรือหมู่บ้าน เมือง สำหรับการต่อสู้ราชศัตรู หรือเตรียมการป้องกันรักษา
7.อำนาจขับไล่ (มาตรา 15) หากมีความสงสัยหรือจำเป็น ทหารมีอำนาจขับไล่ผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาเป็นหลักเป็นฐานที่เข้ามาอยู่ตำบลนั้นชั่วคราวได้
8.อำนาจกักตัวบุคคล (มาตรา 15 ทวิ) หากมีเหตุควรสงสัยว่าใครจะเป็นศัตรู หรือใครที่ฝ่าฝืนพ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ หรือคำสั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ก็มีอำนาจกักตัวบุคคลนั้นไว้เพื่อการสอบถามหรือตามความจำเป็นของทางราชการทหารได้ แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวัน
โดยเหตุผลหนึ่ง ผบ.เหล่าทัพ มีมติใช้ กฎอัยการศึก เนื่องจากคุ้มครองการปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐ100% ป้องกันฟ้องร้องเอาผิดทางเพ่งและอาญา
ส่วน พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง เปิดช่องให้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกับเจ้าหน้าที่ได้ กรณีรื้อถอนบ้านเรือน ทำลายทรัพย์สิน
นอกจากนี้ การจับกุมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย ต้องใช้เวลายาวนานหลายปีกว่าคดีจะสิ้นสุด เช่น จับกุม 500 คน ต้องจัดหาสถานที่คุมขัง เป็นภาระการดูแลกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยทั้งหมด ต่างจากกฎอัยการศึก จับกุมได้ ผลักดันออกนอกประเทศได้ทันที
แม้ปัจจุบัน “กองกำลังบูรพา” กองทัพภาคที่1(ทภ.1)ยังไม่กำหนดวันเวลาที่เข้าปฏิบัติการ เหตุทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์หน้างาน ปัจจัยเอื้ออำนวย รวมถึงสถานการณ์การเมืองโลก
การประชุมอาเซียนซัมมิต ที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนต.ค.นี้ ถือเป็นเวทีใหญ่ที่ผู้นำหลายชาติเดินทางมาร่วมงาน ในส่วนของประเทศไทย “นายกฯ อนุทิน” ก็ถูกจับตามอง เพราะมีแนวโน้มว่า ประเด็นของไทย-กัมพูชา อาจถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน
ต้องยอมรับว่า พื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว กัมพูชาหวังสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงของไทย เพื่อไปโชว์ในเวทีนานาชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะความรุนแรง ความสูญเสียต่อพลเรือนกัมพูชา
ดังนั้น สถานการณ์ยังไปไม่ถึงจุดแตกหัก เพราะการเมืองต้องลากยาวรอซีนของ “นายกฯอนุทิน”ในเวทีต่างประเทศก่อน
ยกเว้น 10 ต.ค. เกิดสถานการณ์พลิกผัน ตามข้อมูล พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กองกำลังบูรพา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 พบว่า จะมีการระดมชาวกัมพูชา รวมถึงเด็ก สตรี คนชรา ประชิดรั้วลวดหนามไทยอีกครั้ง หวังโชว์คณะผู้สังเกตุการณ์ (IOT)
ขณะที่กองเชียร์ฝ่ายไทย ยึดวันที่ 10 ต.ค. รวมพลังไปให้กำลังใจทหารในพื้นที่ให้ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ และหากสถานการณ์วุ่นวายคุมไม่อยู่ ปฏิบัติการอาจเกิดขึ้นก่อนประชุมอาเซียนซัมมิต ก็เป็นเรื่องต้องติดตามว่า จะออกมาในรูปแบบใด







