‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

3ฉบับของร่างแก้รธน. จะถูกพิจารณาวาระแรก 14-15 ต.ค.นี้ ต้องจับตาการใช้แทกติก สว. ตีตก เพื่อปูทางสู่การเขียนกลไก ให้มี "สสร.สีน้ำเงิน"

KEY

POINTS

  • ขั้วการเมืองสีน้ำเงินใช้เสียง สว. เป็นเงื่อนไขต่อรองให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ โดยแลกกับการได้ควบคุมกระบวนการจัดตั้ง สสร.
  • ประเด็นสำคัญอยู่ที่การแก้ไขที่มาของ สสร. ในชั้นกรรมาธิการ เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามแนวทางที่ขั้วสีน้ำเงินต้องการ
  • การผลักดันเรื่องนี้เกิดขึ้นภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด เนื่องจากรัฐบาลมีกำหนดการยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569

วิปรัฐสภา เคาะไทม์ไลน์ “แก้รัฐธรรมนูญ” อย่างเป็นทางการ 14-15 ต.ค.2568 นี้ ถือเป็นครั้งแรกของสภาฯ ชุดปัจจุบันที่จะได้พิจารณาเนื้อหาและรายละเอียด

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีความพยายามยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยผ่านด่านเข้าสู่สาระแม้แต่ครั้งเดียว

ตามมติวงประชุมวิปรัฐสภา ที่ตัวแทนจาก “สว.-สส.ฝ่ายค้าน-สส.ฝ่ายรัฐบาล” ตกลงร่วมกันด้วยบรรยากาศที่ดี คือ เป็นการประชุมวาระพิเศษ ยกญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ “พรรคประชาชน-พรรคเพื่อไทย-พรรคภูมิใจไทย” เสนอ โดยให้เวลา 20 ชั่วโมง ก่อนจะลงมติ ด้วยวิธีขานชื่อ ว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับใดบ้าง เรียงไปตามลำดับ

ขณะที่ในช่วงท้ายของการประชุมตัวแทนของวุฒิสภา อย่าง “วุฒิชาติ กัลยาณมิตร” คีย์แมนคนสำคัญของสายสีน้ำเงิน สัมภาษณ์ย้ำว่า “สว.ยินดี เพราะเห็นด้วยว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการเมือง แต่การแก้รัฐธรรมนูญนั้น ต้องไม่ยุ่งหมวด 1 และหมวด 2”

เช่นเดียวกับ “ภราดร ปริศนานันทกุล” คีย์แมนจากภูมิใจไทย พูดในทำนองเดียวกันว่า “ทุกฝ่ายเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนเนื้อหาทั้ง 3 ฉบับที่แตกต่างกัน ต้องใช้กลไกของกรรมาธิการพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่อาจเป็นเหตุให้การแก้ไขไม่สำเร็จได้”

‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

ถือได้ว่า “คีย์แมนของรัฐสภา” ที่ถูกจัดให้เป็นฝ่ายชี้ว่า ทิศทางของการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญครั้งแรกนี้ จะไปในทิศทางใด พูดตรงกัน เท่ากับว่า การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้มีโอกาสสำเร็จ คือ ผ่านชั้นรับหลักการ และตั้งกรรมาธิการ เพื่อพิจารณาเนื้อหาได้

ทว่า อย่าชะล่าใจไป เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีฉากที่ “พรรคภูมิใจไทย” เล่นบทสองหน้ามาแล้ว เมื่อครั้งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่ สภาฯ แก้ไขเดดล็อกประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ที่ใช้เสียงเห็นชอบข้างมาก 2 ชั้น ไปเป็นเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง แต่ “วุฒิสภาสีน้ำเงิน” เขียนกลับไปให้ใช้เงื่อนไขที่ “สภา” โละทิ้ง

กับ สัญญาณที่ถูกส่งผ่านมาจาก “วุฒิชาติ” ที่บอกว่า สว.ยินดีร่วมวงแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมไม่ติดใจในเนื้อหาที่กำหนดกลไกที่มาของ สสร. แม้ว่า “บางฉบับ” ออกแบบให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อาจไม่ใช่ข้อสรุปว่า “สว.” ที่มี 198 คน จะออกเสียงรับหลักการ ได้ถึงเกณฑ์ 1 ใน 3 ได้

‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

เพราะเนื้อหาของ “บางฉบับ” ที่ถูกเสนอต่อรัฐสภา นั้น กำหนดกลไกให้ “สสร.” มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และแม้ต่อให้ ออกแบบทางเลี่ยง ไม่ทำให้ผิดคำวินิจฉัย โดยกำหนดกระบวนการให้ “รัฐสภา” คัดเลือกในตอนสุดท้าย ยังสุ่มเสี่ยง เพราะที่มาของ สสร. นั้น ถูกตั้งต้นมาโดย “การเลือกตั้งของประชาชน”

ดังนั้น ตามเนื้อหาของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ที่เผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง เมื่อ 7 ต.ค. ที่ว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” อาจเป็นประเด็นที่ “สว.” ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะหากไม่คำนึงถึงคำวินิจฉัยที่มีผลผูกพันกับทุกองค์กรแล้ว อาจมี “บางฝ่าย” ยื่นร้องเอาผิดในประเด็นกระทำที่ขัดกับมาตรฐานจริยธรรมได้

อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีการวิเคราะห์กันด้วยว่า ภายใต้อายุของรัฐบาล-อนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีสัญญาจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 ทำให้ปฏิทิน แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มี “สสร.” นั้นจำเป็นต้องให้กลไกของ “กรรมาธิการ” ทำงานแบบฉบับไม่มีพัก และยิ่งหากพบว่าในเนื้อหาที่โยงได้ถึง “ประโยชน์ทางการเมือง” ที่ต่างฝ่ายต่างแย่งชิงความได้เปรียบ จะยิ่งทำให้การทำงานนั้นยุ่งยาก มากความ

‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

ดังนั้น หากตัดประเด็นข้อที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะการกำหนดกลไกที่มาของ “สสร.” อาจทำให้ย่นเวลาให้สั้นลงได้ และทำให้การแก้รัฐธรรมนูญ ตามข้อตกลงทางการเมือง สามารถเป็นไปได้ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือน

ในทางทฤษฎี ที่ถูกพูดถึง คือ ให้ผ่านเฉพาะของ “พรรคภูมิใจไทย” ส่วนอีก 2 ฉบับที่มีประเด็น “สุ่มเสี่ยง” ว่าจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ อาจใช้แทกติก “เสียง สว.” ตีตก

ทว่า ในมุมนี้ อาจสร้างความหนักใจให้กับ “อนุทิน” ที่แบกหน้าลงนามข้อตกลงทางการเมืองกับ “พรรคประชาชน” ไม่น้อยเพราะ หากหักกันในชั้นนี้ อาจกระทบต่อสัมพันธภาพทางการเมือง ที่คิดว่าจะอยู่ประคองรัฐบาลอยู่ได้แบบตลอดรอดฝั่ง 4 เดือน

‘สีน้ำเงิน’ คุมเกม ตั้ง ‘สสร.’ แลก‘แก้รธน.สำเร็จ’ก่อนยุบสภา

ดังนั้น ในภาคปฏิบัติที่ “คีย์แมนรัฐสภา” ดูทรงตอนนี้ คือ รับไปให้หมด แล้ว ใช้ “กรรมาธิการ” แก้ไขประเด็นที่เสี่ยงจะขัดคำวินิจฉัยศาล เพื่อให้การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้สำเร็จ ตามที่ “พรรคประชาชน” ต้องการ ทว่าต้องขอแลกกับสิ่งที่ทำให้ “ขั้วน้ำเงิน” ได้เปรียบ-มีโอกาสคุมเกม ตั้งสสร.-ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอนาคต

ในชั้นนี้ ไม่ว่าความเคลื่อนไหวต่อการแก้รัฐธรรมนูญ จะเป็นไปตามทฤษฎีหรือข้อปฏิบัติใด ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถนนแก้รัฐธรรมนูญมีกับดัก-เงื่อนมัด รออยู่ทุกย่างก้าว