ป.ป.ช.โฉมใหม่ ฝ่าวิกฤติศรัทธา ล้างครหา ‘องค์กรน้ำเงิน’

ป.ป.ช.โฉมใหม่ ฝ่าวิกฤติศรัทธา ล้างครหา ‘องค์กรน้ำเงิน’

ป.ป.ช. กำลังปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้รักษาการเลขาธิการคนใหม่ พร้อมแต่งตั้งทีมโฆษกชุดใหม่เพื่อทำงานเชิงรุกและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

KEY

POINTS

  • ป.ป.ช. กำลังปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ภายใต้รักษาการเลขาธิการคนใหม่ พร้อมแต่งตั้งทีมโฆษกชุดใหม่เพื่อทำงานเชิงรุกและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน
  • ผู้บริหาร ป.ป.ช. ยืนยันความเป็นกลางในการทำหน้าที่ เพื่อลบข้อครหาว่าเป็น "องค์กรสีน้ำเงิน" โดยจะใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผลทางกฎหมายเป็นเครื่องพิสูจน์
  • ตั้งเป้าเร่งรัดการไต่สวนคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยกำหนดกรอบเวลาให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 ปี และจะมุ่งเน้นคดีที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนสูง
  • กำลังดำเนินการไต่สวนคดีการเมืองสำคัญหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับทุกขั้วการเมือง ทั้งกรณี 44 อดีต สส.ก้าวไกล, คดีที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชิดชอบ และคดีของอดีตนายกฯ แพทองธาร

เมื่อการเมือง “ฟ้าเปลี่ยนสี” องค์กรอิสระ อย่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช.ก็ก้าวเข้าสู่ “ยุคใหม่” ด้วยเช่นกัน หลังจากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “รัฐตำรวจ” มาเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2567 ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557

“คณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ในช่วงปฏิรูปองค์กร” คือคำยืนยันจาก “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะ “โฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.”คนใหม่ พูดในงานพบปะสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายภายในสำนักงาน ป.ป.ช. เนื่องจาก “สาโรจน์ พึงรำพรรณ” เลขาธิการฯคนเดิม ซึ่งมีอายุราชการถึง ก.ย. 2569 ชิงยื่นหนังสือลาออกกะทันหัน เมื่อกลางเดือน ก.ย. 2568 และหนังสือลาออก มีผล 1 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา

ท่ามกลางกระแสข่าวซุบซิบกันหนาหูว่า เหตุผลในการตัดสินใจ อาจเนื่องมาจาก แรงกดดันในการทำงาน และผลงานไม่เข้าตา โดยได้คะแนนประเมินจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.อยู่ในระดับน้อยมาก ถึงขั้นที่อาจถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่นๆ เช่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ตามการปรับโครงสร้างใหม่ของ ป.ป.ช. อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริงจากปากของ “สาโรจน์” ว่าการตัดสินใจไขก๊อกครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร

สำหรับกระบวนการสรรหาตัวเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่นั้น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการจัดทำโครงสร้างภายในสำนักงาน ป.ป.ช.ใหม่ โดยมีการ “เปิดตำแหน่งใหม่” เทียบเท่าเลขาธิการฯ คือ “ที่ปรึกษาพิเศษ” คณะกรรมการ ป.ป.ช. ขึ้นมาอีก 1 เก้าอี้ โดยนัยเพื่อเปิดทางให้เลขาธิการฯที่ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี โยกมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเลขาธิการฯคนไหน ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีมาก่อน ทำให้อีกนัยหนึ่งถูกมองว่าเป็น “ตำแหน่งแขวน” หากเลขาธิการฯ ทำหน้าที่บกพร่อง ไม่เหมาะสมกับงาน

เบื้องต้น ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้ง “พล.ต.ต.อรุณ อมรวิริยะกุล” รองเลขาธิการฯ ที่ “คุณวุฒิ” อาวุโสมากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการฯแทน และตั้ง “สุรพงษ์” รองเลขาธิการฯที่ “วัยวุฒิ” อาวุโสสุด ปฏิบัติหน้าที่โฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แต่พลันขึ้นปีงบประมาณใหม่ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.จึงแต่งตั้ง “สุรพงษ์” ให้นั่งเก้าอี้ “รักษาราชการแทน” เลขาธิการ ป.ป.ช. พ่วงตำแหน่งโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช.ด้วย

“สุรพงษ์” เปิดตัวด้วยการจัดงานพบปะสื่อมวลชน พร้อมแต่งตั้ง “ทีมโฆษก” ชุดใหม่ ซึ่งนับเป็น “ครั้งแรก” ในรอบหลายปีที่มีการแต่งตั้งทีมโฆษกขึ้นภายในสำนักงาน ป.ป.ช.อย่างเป็นทางการ โดยครั้งสุดท้ายน่าจะเกิดขึ้นในยุค “สรรเสริญ พลเจียก” เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. (ระหว่างปี 2556-2560) หรือเกือบ 8 ปีที่แล้ว

“ทีมโฆษก” ชุดนี้ประกอบด้วย “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการฯ เป็น “โฆษก” มีรองโฆษก 2 คนได้แก่ เกียรติศักดิ์ พุฒพันธุ์ ผู้ช่วยเลขาธิการฯ จันทิรา จิตชื่น ผู้ช่วยเลขาธิการฯ

 โดยทีมโฆษกทั้งหมดล้วนมีฝีไม้ลายมือลับวิทยายุทธมาจาก “สายปราบปราม”แทบทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีความชำนิชำนาญ เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นหลัก บางคนผ่านการทำคดีสำคัญเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานจริยธรรม บางคนผ่านการทำคดีในยุค “จำนำข้าว-ระบายข้าว” มาแล้วด้วยซ้ำ

สำหรับบทบาทการทำงานในอนาคตของสำนักงาน ป.ป.ช.นั้น ถูกวางรากฐานจาก “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” โดย “สุรพงษ์” เปิดเผยว่า จะวางรูปแบบการทำงานเชิงรุกมากขึ้น ภาคการทำงานของ ป.ป.ช. ที่ถูกมองว่าช้าจะหมดไป จะมีการติดตามและรายงานเป็นระยะ ๆ ที่จะมีการปรับปรุง จะทำงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วทันใจภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย 

เรื่องการไต่สวนจะต้องกำหนดกรอบการทำงาน มีระยะเวลาไม่เกิน 2-3 ปี ในอนาคตเราจะมุ่งเน้นคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทบกับประชาชนค่อนข้างจะสูง เป็นเรื่องของสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน สาธารณะประโยชน์ เราจะมีมาตรการทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น

ส่วนข้อครหาจากสังคมว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจเกี่ยวโยงกับ “การเมืองสีน้ำเงิน” สุรพงษ์ ยืนยันว่า การทำงานของ ป.ป.ช. มีระบบถ่วงดุลกันเอง กรรมการ ป.ป.ช.แต่ละคนมีอิสระในการที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดี ในส่วนของการตรวจสอบจากองค์กรภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสภาหรือวุฒิสภา เรามีการตรวจสอบจากภายนอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องถือเป็นหลักคือความเป็นกลาง สิ่งที่มีข้อครหาคือ จุดที่จะพิสูจน์ความเป็นกลางว่าการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือหลักการให้เหตุผลทางกฎหมาย ในการวินิจฉัยคดีแต่ละคดีที่ออกไป

“ขอยืนยันว่า ข้อเท็จจริงจะพิสูจน์ตัวมันเอง ในการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ย้ำว่าขอให้มั่นใจว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกท่าน มีที่มาซึ่งปัจจุบัน หลาย ๆ คนมีที่มามาจากตุลาการหรือผู้พิพากษา เพราะฉะนั้น ต้องมีคุณงามความดี เป็นที่ยอมรับจากคณะกรรมการสรรหา เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ ป.ป.ช. ให้เหตุผลออกไปจะไม่มีภาพในอดีตที่เปรียบเทียบถ้าเป็นชุดนี้ ยังเชื่อมั่นว่าการทำหน้าที่ของท่าน จะพิสูจน์สิ่งที่สังคมตั้งคำถามได้” รักษาการเลขาฯ ป.ป.ช. กล่าว

ทว่า สิ่งที่หลายคนจับตา “องค์กรสนามบินน้ำ”แห่งนี้ หนีไม่พ้นคดีสำคัญต่างๆ ที่ต้องดำเนินการ ปัจจุบันยังเหลือคดีค้างของ “นักเลือกตั้ง” ทั้ง “3 ก๊กการเมือง” เช่น “คดีก๊กแดง” กรณี “คดีคลิปเสียง” กล่าวหา “อดีตนายกฯแพทองธาร” ฝ่าฝืนจริยธรรม ก็กำลังดำเนินการอยู่ คดี ครม.แพทองธาร โยกย้ายงบประมาณ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ก็สรุปสำนวนไปแล้ว รอชงที่ประชุมชุดใหญ่ชี้ขาด

“คดีก๊กส้ม”กรณี 44 อดีต สส.ก้าวไกล ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรงหรือไม่ ปัจจุบันองค์คณะไต่สวน พิจารณาพยานหลักฐาน และคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาหมดแล้ว 

หลังจากนี้ จะสรุปข้อมูล “เรียงคน” แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็น “ผู้ริเริ่ม” ในการแก้ไขกฎหมาย 2.ผู้ถูกกล่าวหาที่ “ร่วมลงชื่อ” ซึ่งทั้ง 2 ส่วนมีพฤติการณ์แตกต่างกันไปตามข้อเท็จจริง โดยคาดว่าคดีนี้จะเริ่มพิจารณาแต่ละราย ตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.นี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จอย่างช้าสุดในเดือน ธ.ค.นี้

“ยืนยันว่าการทำงานของ ป.ป.ช.อยู่บนพื้นฐานของความเป็นกลาง ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ได้ดูไทม์ไลน์การเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในการพิสูจน์ความผิด โดยคาดว่าจะมีการพิจารณาคดีนี้รายคนเริ่มตั้งแต่กลางเดือน ต.ค.นี้ จากนั้นคาดว่าเร็วสุดคือเสร็จภายใน พ.ย. อย่างช้าไม่น่าจะเกิด ธ.ค. 2568 ก่อนการเลือกตั้ง ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งทางการเมือง” สุรพงษ์ ระบุ

“คดีก๊กน้ำเงิน” ยังเหลือค้างเพียบ ทั้งกรณีกล่าวหา “อนุทิน ชาญวีรกูล” เมื่อครั้งเป็น มท.1 ในรัฐบาลก่อน ถูกกล่าวหาละเลยไม่ตรวจสอบกรณี “เขากระโดง” รวมถึงกล่าวหา “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรงหรือไม่ กล่าวหาพัวพันกับกรณี “เขากระโดง” ดังกล่าว เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ กรณี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีต รมว.คมนาคม ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วว่า มีพฤติการณ์ส่อเข้าข่าย “ซุกหุ้น” หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยให้ “นอมินี” เป็นถือครองแทน และต้องพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น มีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวน กรณีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่อีกทางหนึ่ง โดยเรื่องนี้ว่ากันว่า ดำเนินการเสร็จแล้ว และชงที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาแล้วด้วย และจะมีรายละเอียดตามมาต่อไป

ทั้งหมดคือการพลิกโฉมครั้งใหญ่ ขององค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริต อันดับ 1 ของไทย “ป.ป.ช.ยุคนี้จะไม่เหมือนเดิม” คือคำมั่นสัญญาจาก“สุรพงษ์” โดยเขาจะมีอายุราชการอีก 1 ปีนับจากนี้ รอพิสูจน์ฝีมือว่าจะทำได้เหมือนที่ลั่นวาจาเอาไว้หรือไม่ ต้องติดตาม