'วิโรจน์' ชำแหละ MOU43-44 ซับซ้อน จี้รัฐบาลเปิดเผยให้ ปชช.เข้าใจ

'วิโรจน์' ชำแหละเงื่อนปม MOU43-44 ซับซ้อนมาก จี้รัฐบาลเปิดเผยให้สาธารณชนทำความเข้าใจ ก่อนชงประชามติยกเลิก ชี้คนละประเด็นกับการจัดการกับกัมพูชา
KEY
POINTS
- นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.ปชน. ชี้ว่า MOU43-44 เป็นข้อตกลงที่มีความซับซ้อนสูง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจทำประชามติ
- อธิบายว่า MOU43 เป็นเรื่องเขตแดนทางบก ส่วน MOU44 เป็นเรื่องเขตแดนทางทะเล ซึ่งเป็นอิสระต่อกันและไม่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน
- เตือนว่าการยกเลิก MOU43-44 อาจทำให้ไทยเสียกรอบการเจรจาตามกฎหมายทะเลสากล และส่งผลกระทบต่อสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน
เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แสดงความเห็นถึงเรื่อง MOU43-44 โดยระบุว่า เป็นข้อตกลงที่จัดทำขึ้นตามกฎหมายทะเลสากล มีความซับซ้อนมาก หากประชาชนยังเข้าไม่ถึงข้อมูลที่ครบถ้วน จะทำประชามติได้อย่างไร
สำหรับ MOU43 นายวิโรจน์ ระบุว่า หากประชาชนยังเข้าไม่ถึงข้อมูล MOU43 อย่างครบถ้วน จะทำประชามติเกี่ยวกับ MOU43 ได้อย่างไร อ้างอิงจากหนังสือ แฉเอกสาร “ลับที่สุด” ปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505-2551 ที่เขียนโดย ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ของ ครม. ในชุดปัจจุบัน — ในส่วนคำนำ อาจารย์บวรศักดิ์ ในฐานะผู้เขียนได้ย้ำเอาไว้ว่า อาจารย์ต้องการที่จะให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษารายละเอียดก่อนการพูด หรือคิดอะไร โดยเฉพาะการพูด แม้จะโดยปราศจากเจตนา คำพูดก็สามารถสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติได้ใหญ่หลวง โดยเฉพาะคำพูดปลุกระดมให้ชาวไทยรักชาติ จนกลายเป็นความคลั่งชาติไปในที่สุด
ดังนั้น ก่อนที่จะมีการทำประชามติถามประชาชน เกี่ยวกับ MOU43 และ MOU44 ผมคิดว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องทำให้ประชาชนคนไทยเข้าใจเสียก่อนว่า MOU43 และ MOU44 นั้นคืออะไร มีหน้าที่อะไร มีข้อดี และข้อจำกัดอะไร และในกรณีที่มีการยกเลิกจะส่งผลกระทบอย่างไร เป็นคุณหรือเป็นโทษต่อประเทศในแง่ไหนบ้าง
การทำประชามติถามประชาชน โดยที่ประชาชนยังไม่ทราบถึงรายละเอียดของข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน มีความเป็นไปได้สูงมากที่การตัดสินใจจะดำเนินไปตามโมเมนตัมทางอารมณ์ ซึ่งอยู่ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งจะเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบให้กับประชาชน ให้ต้องแบกรับกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากกลไกสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ
เบื้องต้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า MOU43 เป็นบันทึกความเข้าใจ เพื่อเป็นกรอบในการทำงานในการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีกลไกของคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC-Joint Boundary Commission) ทำหน้าที่สำรวจ ปักปัน จัดทำแผนที่เขตแดนทางบก และกำหนดพิกัดทางภูมิศาสตร์ ซึ่งไทยและกัมพูชา มีเขตแดนร่วมกันเป็นระยะทาง 798 กม. แบ่งเป็น แนวสันปันน้ำ 524 กม. แนวลำน้ำ 216 กม. เส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก 58 กม.
โดยหลักเขตแดนทั้ง 74 หลัก (73 หลักใหญ่ 1 หลักย่อย) แบ่งเป็น แนวสันปันน้ำ 34 หลัก แนวลำน้ำ 19 หลัก เส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก 21 หลัก เข้าใจว่าปัจจุบันเป็นที่ยอมรับร่วมกันแล้ว 45 หลัก ยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่ 29 หลัก
กล่าวโดยสรุปก็คือ MOU43 นั้นเป็นการบันทึกความเข้าใจในเรื่องการสำรวจเขตแดน และกำหนดพิกัดทางภูมิศาสตร์เพื่อปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา (Boundary) เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน (Border) และหากพิจารณาในข้อที่ 5 ยังมีการระบุว่า
“เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” ซึ่งหมายความว่า MOU43 เป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม หรือปรับเปลี่ยนภูมิประเทศใดๆ ตลอดจนสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรใดๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจเขตแดนอีกด้วย
นายวิโรจน์ ระบุด้วยว่า การมีอยู่ของ MOU43 ยังเป็นการยืนยันอีกด้วยว่าการตกลงกันในเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชานั้น ต้องเป็นการดำเนินการตามกลไกทวิภาคี เพื่อประโยชน์ที่เป็นธรรมร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงปัญหาในเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดจนป้องกันไม่ให้กัมพูชาหยิบยกเอาเรื่องปัญหาเขตแดนไปขยายผลเพื่อเอาเปรียบประเทศไทยในเวทีโลก
สำหรับ ปัญหาที่กัมพูชาละเมิดรุกล้ำพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย ที่ระบุว่ามีการละเมิดมากถึง 651 ครั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ MOU43 โดยตรง แต่เป็นการที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือชายแดน ที่ลงนามเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2538 ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งกลไกระดับทวิภาคีที่สำคัญของฝ่ายทหาร 2 กลไก คือ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC-General Border Committee) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC-Regional Border Committee) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค แบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการ ได้แก่
ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ที่ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์)
ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ที่ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน (สระแก้ว)
ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 ที่ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง (จันทบุรีและตราด)
ดังนั้น ปัญหาการละเมิดรุกล้ำพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นอธิปไตยของไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กลไกของ GBC และ RBC ในการยื่นเงื่อนไขที่ชัดเจนให้กับกัมพูชา ว่ามีกำหนดการที่ต้องรื้อถอนออกจากพื้นที่ที่ไม่ใช่อธิปไตยของประเทศกัมพูชาภายในวันที่เท่าไหร่ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือแจ้งให้กับ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียน (ASEAN Interim Observation Team) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC-United Nations Security Council) ให้รับทราบสถานการณ์ปัญหาร่วมด้วย พร้อมกับเร่งพบปะหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เป็นสมาชิกถาวร 5 ประเทศ อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย และสหราชอาณาจักร หากกัมพูชาไม่ยินยอมที่จะรื้อถอนออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ก็ให้รัฐบาลดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายระหว่างประเทศ และดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย โดยระหว่างการบังคับใช้กฎหมายก็อาจมีการเชิญให้ผู้แทนจากคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย และมีการรายงานผลการบังคับใช้กฎหมายให้กับคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวอาเซียน และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับทราบ
ทั้งหมด นี้จะทำให้รัฐบาลไทยมีความชอบธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย และหากมีความจำเป็นต้องใช้กำลัง ก็ล้วนเป็นการใช้กำลังภายใต้เงื่อนไขการใช้กำลังเพื่อควบคุมการจลาจล และการป้องกันการรุกรานประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลทั้งสิ้น ซึ่งจะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่ชอบธรรมของกัมพูชา ที่ไม่เคารพต่ออธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ แผนที่ที่ใช้ในการสำรวจเขตแดนเพื่อระบุพิกัดภูมิศาสตร์ตาม MOU43 ไม่ได้มีการใช้เฉพาะแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เท่านั้น ยังมีการใช้แผนที่อีกหลายระวาง ที่ทางฝั่งไทยและกัมพูชาเห็นชอบที่จะใช้สำรวจเขตแดนร่วมกัน และต่อให้มีการยกเลิก MOU43 เกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และปี 1907 จะถูกยกเลิกตามไปด้วย
"สิ่งที่ผมกังวลอย่างยิ่ง ก็คือ การตัดสินใจยกเลิก MOU43 นอกจากจะไม่สามารถกำราบความเหิมเกริมของกัมพูชาได้แบบตรงจุดแล้ว ยังจะทำให้ประเทศไทยต้องประสบกับความเสียเปรียบ จากกลไกทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจและปักปันเขตแดน ที่กำหนดให้กัมพูชาต้องหารือทำความตกลงร่วมกันกับประเทศไทยเท่านั้น ต้องถูกทำลายลง แถมยังเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาสามารถดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาแทรกแซงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับไทย พร้อมกับสามารถผลักดันให้ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ถูกนำไปพิจารณาในองค์กรระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ศาลโลก (ICJ-International Court of Justice) หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อีกด้วย" นายวิโรจน์ ระบุ
นายวิโรจน์ ระบุด้วยว่า ในมุมของตน ไม่ได้บอกว่า MOU43 ดีสมบูรณ์อยู่แล้ว เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีรายละเอียดอยู่หลายเรื่อง ที่ควรจะมีการปรับปรุงปรับเปลี่ยน เพื่อให้การสำรวจเขตแดน และระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ เดินหน้าไปได้รวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ แต่เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดทำ MOU ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน แล้วจึงไปยกเลิก MOU ฉบับเดิม กังวลว่าหากมียกเลิก MOU ฉบับเดิม โดยที่ยังไม่มี MOU ฉบับใหม่ จะทำให้ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เกิดสภาวะสุญญากาศ ที่ทำให้กัมพูชา สามารถหลุดพ้นจากเงื่อนไขทวิภาคี และสบช่องนำเอาความขัดแย้งจากการสู้รบที่เกิดขึ้นที่บริเวณชายแดน ไปขยายผลสู่ความขัดแย้งในเรื่องการสำรวจเขตแดน ในเวทีโลก และดึงเอาประเทศต่างๆ เข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของประเทศไทยของเรา
สำหรับ MOU44 นายวิโรจน์ ระบุว่า ในปี 2515 กัมพูชา จอมพลลอน นอล ได้ประกาศเขตไหล่ทวีป และอ้างสิทธิเหนือไหล่ทวีปในอ่าวไทย นอกชายฝั่งกัมพูชา และในปี 2516 ประเทศไทยได้ประท้วงแนวเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา และได้ประเทศแนวเส้นไหล่ทวีปของไทย ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลประมาณ 26,000 ตร.กม. ทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลหลายครั้งเริ่มตั้งแต่ปี 2513 จนเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไทย และกัมพูชา ได้มีการลงนามใน MOU44
MOU44 เป็นบันทึกความเข้าใจที่กำหนดกรอบและกลไก ในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน (OCA-Overlapping Claim Area) ส่วนบนที่อยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ โดยมีพื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม. รวมทั้งการหาแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกัน สำหรับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม (JDA-Joint Development Area) โดยมีพื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม. โดยต้องดำเนินการทั้งสองเรื่องในลักษณะที่ไม่แบ่งแยกออกจากกัน (indivisible package) โดยมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC-Joint Technical Committee) ทำหน้าที่เจรจาร่วมกันในเรื่องนี้
นายวิโรจน์ ระบุว่า วัตถุประสงค์สำคัญของ MOU44 มีอยู่ 2 ประการ ก็คือ
1) ต้องการแบ่งอาณาเขตทางทะเล สำหรับทะเลอาณาเขต (12 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน) ไหล่ทวีป (พื้นดินใต้ทะเลในระดับน้ำลึกไม่เกิน 200 เมตร) และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (200 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน) ที่ไทย และกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนให้มีความชัดเจน
2) เพื่อทำความตกลงในการจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม (JDA-Joint Development Area) สำหรับทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ ที่ต้องดำเนินการสำรวจ และผลิตต่อไป
MOU44 เป็นบันทึกความเข้าใจที่จัดทำขึ้นโดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยในข้อ 3 (ข) ได้ระบุว่า การแบ่งเขตทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ ให้แบ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น หากมีการยกเลิก MOU44 ประเทศไทยจะอ้างสิทธิอะไรให้กัมพูชามาเจรจากันในเรื่องเขตแดนทางทะเลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และจะใช้กลไกอะไรในการจัดการกับเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS-United Nations Convention on the Law of the Sea) โดยกัมพูชาอาจกลับไปอ้างอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ.1958 ในการกำหนดไหล่ทวีป เนื่องจากแม้ว่ากัมพูชาจะเข้าเป็นภาคี UNCLOS แล้วตั้งแต่ปี 2526 แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันจนถึงปัจจุบัน
นายวิโรจน์ ระบุอีกว่า นอกจากนี้ หากมีการยกเลิก MOU44 สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน อาจจะได้รับผลกระทบ เพราะจะไม่มีกรอบทางกฎหมายคุ้มครองการดำเนินการอีกต่อไป ซึ่งรัฐบาลไทยจำเป็นต้องเตรียมหาแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับบริษัทที่ได้รับสัมปทานไปแล้วจากรัฐบาลไทยเมื่อปี 2511 ประกอบด้วย
1.แปลง B5 B6 พื้นที่ 10,155 ตร.กม.ผู้รับสัมปทาน คือ Idemitsu Oil 50% (Operator) , Chevron E&P 20% ,Chevron Block 5 and 6 10% และ Mitsui Oil Exploration 20%
2.แปลง B7 B8 B9 พื้นที่ 10,420 ตร.กม. ผู้รับสัมปทาน คือ BG Asia 50% , Chevron Overseas Petroleum 33.33% และ Petroleum Resources 16.67%
3.แปลง B10 B11 พื้นที่ 2,785 ตร.กม. ผู้รับสัมปทาน คือ Chevron Thailand E&P 60% และ Mitsui Oil Exploration 40%
4.แปลง B12 B13 (บางส่วน) พื้นที่ 890 ตร.กม.ผู้รับสัมปทาน คือ Chevron Thailand E&P 80% และ Mitsui Oil Exploration 20%
5.แปลง G9/43 พื้นที่ 2,619 ตร.กม.ผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 100% ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
6.แปลง B14 พื้นที่ 133 ตร.กม.ผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท ปตท.สผ.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 80%, Chevron Thailand E&P 16% และ Mitsui Oil Exploration 4%
รวมทั้งอาจจะต้องคิดถึงมาตรการ ที่จะต้องดำเนินการกับบริษัทผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชา เมื่อปี 2540 ด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย
1.พื้นที่ I & II 20,576 ตร.กม. ผู้รับสัมปทาน คือ Conoco Inc 66.667% (Operator) และ Idemitsu 33.333%
2.พื้นที่ III 2,785 ตร.กม. ผู้รับสัมปทาน คือ Total EP Cambodge
3.พื้นที่ IV 3,642 ตร.กม. ผู้รับสัมปทาน คือ CNOOC 63% , Ministry of Mines & Energy 10% และ Resourceful Petroleum 27%
สส.ปชน.รายนี้ ยังระบุอีกว่า สิ่งที่ประชาชนคนไทยทุกคนควรรับทราบตรงกัน ก็คือ กรอบในการสำรวจ และปักปันเขตแดนระหว่างไทย และกัมพูชา แนวเขตแดนทางบก และแนวเขตแดนทางทะเลข นั้นแยกเป็นอิสระต่อกัน โดย MOU43 นั้นเป็นเรื่องของเขตแดนทางบก ส่วน MOU44 นั้นเป็นเรื่องของเขตแดนทางทะเล ต่อให้หลักเขตแดนทางบกที่ดำเนินการตาม MOU43 จะขยับ ก็จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขตแดนทางทะเล ที่ดำเนินการตาม MOU44 ดังนั้นข้อกล่าวอ้างที่ว่า หากหลักเขตแดนที่ 73 ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มีการขยับย้าย ก็จะส่งผลกระทบต่อเขตแดนทางทะเลของประเทศไทย จึงเป็นสมมติฐานที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
สำหรับประเด็นในเรื่องเกาะกูด ก็ต้องยืนยันว่า MOU44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด เพราะสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ระบุชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย โดยระบุในข้อที่ 2 ว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม” แต่การยกเลิก MOU44 ต่างหาก ที่อาจทำให้กัมพูชากลับมาอ้างเส้นไหล่ทวีปเดิมที่พาดผ่านเกาะกูด ที่อ้างอิงตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ.1958 ให้ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมา
คำถามสำคัญ ก็คือ ในเมื่อ MOU44 เป็นบันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 และเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ใช้ในการบังคับให้กัมพูชาอยู่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายทะเลสากล ถ้ายกเลิกไปแล้ว เราจะใช้อะไรบังคับกัมพูชา
เรื่องเขตแดนทางทะเล เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนมาก การจะตัดสินใจทำประชามติ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ประชาชนเข้าถึง และเข้าใจข้อมูลข้อเท็จจริง ตลอดจนผลกระทบ ทั้งข้อดี ข้อเสียต่างๆ อย่างรอบคอบรอบด้าน จะให้ประชาชนตัดสินใจโดยทันทีทันใด โดยปราศจากข้อมูลไม่ได้ เหมือนกับหมอเวลาที่จะผ่าตัดรักษาคนไข้ อยู่ดีๆ จะให้คนไข้เซ็นยินยอม โดยที่ไม่อธิบายอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ครับ
"ผมยืนยันว่า การยกเลิก MOU43 และ MOU44 นั้นน่าจะเป็นคนละประเด็นกับการจัดการกับกัมพูชา เพื่อให้กัมพูชาได้รับกับผลของการกระทำของตนอย่างสาสม ผมคิดว่าการจะจัดการเอาคืนกัมพูชาที่สาสมที่สุด ก็คือ การร้องเรียนต่ออัยการ ICC ให้ดำเนินการสอบสวนฮุน เซน ในฐานะอาชญากรสงคราม เนื่องจากกัมพูชาเป็น ภาคีของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) พร้อมกับประสานงานกับหน่วยงานด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น FinCEN, OFAC, FATF Egmont Group และ INTERPOL ในการปราบปรามเครือข่ายเงินทุนสกปรกของฮุน เซน ที่พัวฟันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงออนไลน์ ให้สิ้นซาก" นายวิโรจน์ ระบุ







