‘อนุทิน’ นำถก ‘คอภ.’ เยียวยาน้ำท่วม ปชช. 6,169 ล้าน ตามเกณฑ์ปี67

“อนุทิน” นั่งหัวโต๊ะ ถก “คอภ.” เยียวยา ปชช.ประสบภัยพิบัติ น้ำท่วม-ดินถล่ม 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9พัน วงเงิน 6,169 ล้าน สั่ง เร่งระบายน้ำลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรและสหกรณ์ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รมช.มหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมด้วย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติที่ประชุมว่า แนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย
ที่ประชุมมีมติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี68 เช่นเดียวกันกับปี 67 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ดังนี้
(1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง
ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
(2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน
ซึ่งการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท
โดยในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการ ดังนี้
เนื่องจาก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้
1. ให้กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก ลง 100 ลบ.ม/วินาที
3.ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท - ป่าสัก
- เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ ให้เต็มศักยภาพที่ 210 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
- ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ –
ทางระบายน้ำพระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16 ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองลาดกระบัง
โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมทุกสถานีสูบส่วนบริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทย
ให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง
4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น
- ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน และใช้คลองย่อยเดิมรับน้ำ
จากทุ่งด้านบนระบายน้ำลงคลองภาษีเจริญเพื่อทำหน้าที่เป็นคลองลัดเสริมการระบายน้ำ
- ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองย่อยของแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เสริมการระบายน้ำลงอ่าวไทย
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
5. ให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และ ต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร
6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำ ได้มากกว่าร้อยละ 80
7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบม.)
“การลงพื้นที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ขอให้เน้นการเยียวยาด้วยความรวดเร็วที่สุดในเวลาที่มี ส่วนการบริหารจัดการสถานการณ์ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ น้ำขัง น้ำหลาก ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน ผลิตผลการเกษตร หรือโรคภัยต่างๆที่มากับน้ำ พร้อมให้เร่งรวบรวมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว” นายกฯ กล่าว






