'ณัฐพงษ์' จี้รัฐบาลทบทวนเลิก MOU43-44 อย่าโยนภาระให้ ปชช.

'ณัฐพงษ์' จี้รัฐบาลทบทวนเลิก MOU43-44 อย่าโยนภาระให้ ปชช.

'ณัฐพงษ์' จี้รัฐบาล ทบทวนทำประชามติยกเลิก MOU43-44 อย่าโยนภาระให้ประชาชน ยกนิด้าโพล สะท้อนคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ ลั่น ปชน.ค้านตลอด กังขาทำเพื่อหวังผลการเมืองหรือไม่

KEY

POINTS

  • ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคปรชะาชน เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการทำประชามติเรื่อง MOU 43-44 โดยชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจในเนื้อหา
  • ย้ำว่าการตัดสินใจในประเด็นซับซ้อนด้านความมั่นคงและการต่างประเทศเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ไม่ควรผลักภาระให้ประชาชน
  • แสดงความกังวลว่ากระบวนการประชามติไม่สามารถให้ข้อมูลที่รอบด้านแก่ประชาชนได้ในเรื่องที่ละเอียดอ่อน และผลลัพธ์อาจไม่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริง

เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กทม. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รัฐบาลจะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเรื่อง MOU 43-44 ผ่านการทําประชามติ ว่า ผลสำรวจของนิด้าโพล ที่สำรวจเรื่องนี้ ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ประชาชนราว 70% มีความไม่เข้าใจ กับค่อนข้างไม่เข้าใจ เป็นเสียงส่วนใหญ่ เกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของ MOU ฉบับดังกล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้ประชามติเป็นกระบวนการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริง ๆ คือออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง โดยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเพียงพอระดับหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากกว่าวันเข้าคูหากาลงคะแนนเสียงทำประชามติ คือเรื่องของกระบวนการ เพราะเรื่อง MOU เป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน ไม่เชื่อว่าจะสามารถจัดเวทีสาธารณะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างรอบด้าน ยังมีบางเรื่องที่ขนาดประชุมกันในรัฐสภายังขอประชุมลับ เพราะบางอย่างหากพูดออกไป อาจทำให้ประชาชนเสียเปรียบ แล้วลองนึกภาพว่า ในสังคมมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง ไม่สามารถให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน ได้อย่างรอบด้าน จึงมีข้อห่วงใยว่า การทำประชามติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ จะไม่ใช่ผลที่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน

ส่วนพรรคประชาชนจะเสนอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เสนอทบทวนมาโดยตลอดทุกครั้งที่ตนมีโอกาสตอบคำถามสื่อมวลชนก็จะบอกอย่างนี้ตลอด และเชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเอง นอกจากทราบจากตน ก็น่าจะทราบจากนักวิชาการ และเสียงสะท้อนจากสังคม ตอนนี้เห็นว่ามีโพลบางส่วนที่ทำในโลกออนไลน์ จะเห็นว่าประชาชนบางส่วนอยากมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น หรือบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องนี้มาทำประชามติ

“จริงๆ ควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ควรโยนการตัดสินใจนี้ ให้เป็นภาระของประชาชน จริงๆ เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยตรง ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจไป ในการตัดสินใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน เรื่องความมั่นคงแบบนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร ก็แสดงความรับผิดรับชอบ ตัดสิน และทำเองได้เลย” นายณัฐพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การเสนอมาในช่วงจังหวะนี้ ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งหน้า มีบัตรอย่างน้อย 2 ใบ คือ สส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ อยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องการจัดทำประชามติที่มี 2 คำถาม ดังนั้น การเสนอมาอีกบัตรเลือกตั้ง ในเรื่องประชามติ MOU ส่วนหนึ่งตนมีข้อห่วงใยว่า อาจเพิ่มภาระประชาชนในการออกเสียง ที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องละเอียดซับซ้อนหลายเรื่อง จึงต้องให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ว่า เหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร และเป็นข้อเสนอที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างไรหรือไม่ ในการโยนข้อเสนอนี้ออกมา ทั้งที่นายอนุทินก็รู้ดีว่า อีก 4 เดือนต้องยุบสภา มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า หากทุกอย่างต้องเข้าสู่การทำประชามติ จะกลายเป็นภาระของพรรคประชาชนหรือไม่ เนื่องจากคนคาดหวังว่าพรรคประชาชนจะต้องเป็นคนรณรงค์ทุกเรื่อง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติไปถึงการทำประชามติ เราคงส่งเสียงเรียกร้องว่า เราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการการจัดทำประชามติ ที่ประชาชนแสดงความเห็น หรือรับรู้ข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น เราคงไม่เห็นด้วยกับหลักการที่จะนำเรื่องนี้มาทำประชามติ แต่การบอกแบบนี้ต้องบอกว่า พรรคประชาชนเคารพในการให้เสียงประชาชนเป็นใหญ่ ถ้ามีการจัดทำประชามติผลออกมาอย่างไร ต้องเป็นไปตามนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการ หากส่งเสียงคัดค้านแล้วรัฐบาลเดินหน้าต่อ ก็เป็นหน้าที่พรรคประชาชน และทุกพรรคการเมืองที่ต้องรณรงค์ให้มากที่สุด ต้องหาวิธีอธิบายเรื่องละเอียดซับซ้อนให้ดีที่สุด

ส่วนมองว่าการทำประชามติ ถือเป็นการเดินหน้าให้สิทธิ์ประชาชน แต่ในประเด็นสำคัญ ต้องมาฟังกันหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องรายละเอียดทางเทคนิค พร้อมยกคำพูดว่า “ถ้าเราบอกว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ เราคงไม่สามารถสร้างได้โดยการยกมือโหวตทุกคน สุดท้ายต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์ มาคิดวิเคราะห์เรื่องหลักการ และเหตุผล“ เช่นเดียวกับเรื่องนี้ มีรายละเอียดเชิงเทคนิคเยอะ สิ่งที่จะมำให้แก้ปัญหาไทย-กัมพูชาได้สำเร็จ อาจไม่ใช่การให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไม่มีความรู้ทางเทคนิคที่สมบูรณ์เท่านักการทูต หน่วยงานความมั่นคง หรือฝ่ายบริหาร ตนคาดหวังว่า รัฐบาลควรจะออกแบบกระบวนการดีๆ และเลือกใช้กระบวนการที่ถูกต้อง ในการตัดสินใจเรื่องละเอียดอ่อน