'อภิสิทธิ์' ตัวเลือกหัวหน้า ภารกิจใหญ่กอบกู้ประชาธิปัตย์

พูดถึงผู้อาวุโสแห่งพรรคประชาธิปัตย์ คนที่เป็นเสมือนจิตวิญญาณพรรคคนหนึ่งก็คือ “ชวน หลีกภัย” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้นำฝ่ายค้าน และไม่เพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น คนไทยก็รู้จัก “ชวน” ดี ในนามของนักการเมืองใจซื่อมือสะอาด
วันนี้ท่ามกลางพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในช่วงของการสรรหา และเตรียมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 18 ตุลาคม 2568 ท่าทีของ “ชวน” ชัดเจนพร้อมสนับสนุน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมากอบกู้พรรค ส่วนเลขาธิการพรรคเป็นสิทธิ์ของหัวหน้าพรรคที่จะเลือกใครตามความเหมาะสม
ไม่เพียง “ชวน” ที่สนับสนุน “อภิสิทธิ์” แม้แต่ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ภาพขณะนั่งร่วมวงสนทนากับอภิสิทธิ์ พร้อมอดีตคนการเมืองอย่าง ดร.สันติธาร เสถียรไทย และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ โดยระบุแคปชั่นว่า “หัวข้อเมื่อคืนคือ อนาคตประเทศที่ทุกคนทุกรุ่นต้องการ” ซึ่งอาจส่งสัญญาณว่า พวกเขาในภาพล้วนหนุนหลัง “เดอะมาร์ค” กลับมามีบทบาทผู้นำพรรคได้เช่นกัน
ขณะ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรองหัวหน้าพรรคอีกคน ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “ผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แล้วในวันนี้ เพื่อใช้สิทธิเลือกคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ในวันที่ 18 ต.ค. 2568” อย่างไม่อ้อมค้อม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก่อนหน้านี้ ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยไปพบ “อภิสิทธิ์” และแสดงท่าทีในลักษณะสนับสนุนให้กลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค และเป็น “ตัวเลือก” ในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ยิ่งตอกย้ำกระแสการ “คัมแบ็ค” ของ “อภิสิทธิ์” อย่างชัดเจน
ประเด็นก็คือ ในห้วงเวลา หลังจาก “อภิสิทธิ์” ตัดสินใจลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็อยู่ในสถานการณ์ตกต่ำเรื่อยมา ทั้งจำนวนที่นั่งส.ส.ที่ลดลง และความขัดแย้งภายในพรรค
โดยถ้าย้อนให้เห็นเหตุการณ์ อาจนับแต่ ในการเลือกตั้งส.ส. ปี 2562 “อภิสิทธิ์” ประกาศจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ตอนหาเสียงว่า จะไม่สนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมหาชน 3.9 ล้านเสียง ส.ส. 52 ที่นั่ง ต่อมาเมื่อมติกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมากให้สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับร่วมรัฐบาล “อภิสิทธิ์” ได้ประกาศลาออกจากการเป็น ส.ส.ในวันลงมตินั่นเอง
จากนั้น วันที่ 15 พฤษภาคม 2562 มีการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ จากผู้สมัคร 4 คน ได้แก่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมี จุรินทร์และกรณ์ เป็นตัวเต็ง ซึ่ง จุรินทร์ มีโอกาสมากกว่าเนืองจากชวน หลีกภัย ผู้มีบารมีในพรรค สนับสนุน ผลปรากฏว่า จุรินทร์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
ในช่วงที่ จุรินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค และเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคอย่างสูง และมีส.ส.ลาออกจากพรรคหลายคน
เช่น “กรณ์” ที่แยกออกไปตั้งพรรคกล้า ซึ่งคาดว่ามาจากการตั้ง ปริญญ์ พานิชภักดิ์ มาคุมทีมเศรษฐกิจ
จากนั้น ก่อนการเลือกตั้งส.ส.ปี 2566 ได้มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากประกาศลาออก เช่น ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู, รังสิมา รอดรัศมี, พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล, เจือ ราชสีห์, ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์, อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์, วชิราภรณ์ กาญจนะ พร้อมกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ จุติ ไกรฤกษ์ ในวันที่ 7 มีนาคม และบุญยอด สุขถิ่นไทย ในวันที่ 14 มีนาคม โดยทั้งหมดย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ
หลังการเลือกตั้งส.ส.ปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้ส.ส.เพียง 25 คน ส่งผลให้ “จุรินทร์” ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อแสดงความรับผิดชอบ
แต่แล้ว ในการลงมติเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่(9 ก.ค.66) ก็เกิดปัญหาขึ้น โดยบุคคลที่คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อและแสดงความประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง จำนวน 4 คน คือ อภิสิทธิ์ ซึ่งคาดว่า ชวน หลีกภัย จะเป็นผู้เสนอชื่อ, นราพัฒน์ แก้วทอง ซึ่งคาดว่ากลุ่มของเฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเป็นผู้เสนอชื่อ, พันโทหญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล และ มัลลิกา บุญมีตระกูล ซึ่งเป็น 2 ผู้ประสงค์จะลงสมัคร แต่ในที่สุดการประชุมต้องยุติลงเนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม
ต่อมาในวันที่ 6 สิงหาคม 2566 ได้มีการจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรครอบสองขึ้นที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น แต่เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเมื่อการประชุมล่มเพราะมีสมาชิกบางส่วนไม่เข้าร่วมการประชุม และคราวนี้ เฉลิมชัย รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำ ส.ส.พรรคทั้ง 21 คน ออกจากห้องประชุมพร้อมกล่าวประณามว่า นี่คือ “การกระทำที่เลวร้าย” และ “เล่นเกมการเมืองเพื่อหวังตอบสนองความต้องการของใครบางคน” ท่ามกลางข่าวลือว่า มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางส่วนต้องการที่จะไปเข้าร่วมรัฐบาลกับ“เพื่อไทย” และได้มีดีลกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ฮ่องกงไว้แล้ว
และวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 “จุรินทร์” ได้ลาออกจากรักษาการหัวหน้าพรรค เพื่อหวังให้ที่ประชุมใหญ่วิสามัญเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค อย่างราบรื่น จากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน ณ ที่ทำการพรรค ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการ ซึ่งที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้ “เฉลิมชัย” รักษาการเลขาธิการพรรค ดำรงตำแหน่งรักษาการหัวหน้าพรรคควบอีกตำแหน่งหนึ่ง พร้อมกำหนดวันจัดประชุมใหญ่วิสามัญเป็นวันที่ 9 ธันวาคม 2566 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
กระทั่งวันที่ 9 ธันวาคม ชวน หลีกภัย เสนอชื่อ “อภิสิทธิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง “อภิสิทธิ์” จึงขอพูดคุยกับ “เฉลิมชัย” รักษาการหัวหน้าพรรคเป็นการส่วนตัวด้านนอกห้องประชุม ภายหลังพูดคุยเสร็จสิ้น “อภิสิทธิ์” จึงเดินกลับมาในห้องประชุม แล้วประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค และลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาด้วย สาธิต ปิตุเตชะ อดีตรองหัวหน้าพรรค
นอกจากนี้ เนื่องจาก “วทันยา บุนนาค” ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสมาชิกพรรคนี้ยังไม่ถึงกำหนด 5 ปี และไม่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องให้ที่ประชุมรับรองคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าพรรคด้วยมติ 3 ใน 4 ก่อน ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติรับรองเพียง 139 คน ทำให้ “วทันยา” ขาดคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เช่นเดียวกับ พันโทหญิงฐิฏา ส่งผลให้ผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีเพียงคนเดียวคือ เฉลิมชัย ศรีอ่อน และที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบให้เฉลิมชัยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 88.5
จากนั้น ในการปรับคณะรัฐมนตรี ในปี 2567 ของรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย เฉลิมชัย ก็ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล
จนหลังเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ วันที่ 12 กันยายน 2568 เฉลิมชัย ได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ และแต่งตั้งให้ ประมวล พงศ์ถาวราเดช ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค....
นี่คือ สิ่งที่คนรักพรรคประชาธิปัตย์เห็นตรงกันว่า ได้เวลากอบกู้ฟื้นคืนความยิ่งใหญ่กลับมา และนับเป็น “ภารกิจ” อันยิ่งใหญ่ และใหญ่ยิงของหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็ว่าได้
ที่สำคัญ คนที่จะเข้ามากอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ อาจไม่ใช่ใครก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น หากแต่ต้องเป็นคนที่มี “ดีเอ็นเอประชาธิปัตย์” อยู่ในสายเลือดอย่างเข้มข้นด้วย
ไม่แปลกที่เรื่องนี้จะมีชื่อ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในระดับต้นๆ ของ “คนที่ใช่” มากที่สุด
สำหรับ “อภิสิทธิ์” ถือว่า มีเกียรติประวัติของคนมีความรู้ความสามารถ และบทบาททางการเมืองก็โชกโชนไม่แพ้ใคร
นับแต่ เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27, อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชวน หลีกภัย อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร อดีตส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และแบบสัดส่วน และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
“อภิสิทธิ์” สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้เป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในปี 2535 ขณะอายุ 27 ปี และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปี2548 เป็นนายกรัฐมนตรี ธันวาคม ปี 2551 ขณะอายุ 44 ปี ถือ เป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี
ผลงานโดดเด่นของ “อภิสิทธิ์” ในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรีได้แก่ นโยบายเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การผลักดันนโยบายการปฏิรูประบบราชการของรัฐให้มีผลเป็นรูปธรรม จัดตั้งคณะกรรมการที่สำคัญ 3 คณะได้แก่ คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ปรร.) คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนของรัฐ(คปร.) และคณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ (ปปร.)
นอกจากนี้ “อภิสิทธิ์” ได้รับยกย่องในระดับนานาชาติหลายครั้ง ในปี 2535 เป็น 1 ใน 100 ผู้นำสำหรับโลกวันพรุ่งนี้ที่จัดโดย World Economic Forum (องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของโลก) ปี 2540 ได้รับการคัดเลือกให้ เป็น 1 ใน 6 นักการเมืองที่เป็นความหวังของเอเชียจัดโดยนิตยสารไทม์ และในปี 2542 เป็น 1 ใน 20 ผู้นำสำหรับสหัสวรรษด้านการเมืองจัดโดยนิตยสารเอเชียวีค
ในไทย “อภิสิทธิ์” ได้รับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และ ปี 2554 ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ ลีลาการอภิปรายในฐานะฝ่ายค้าน และการตอบคำถามของผู้อภิปรายในฐานะ “รัฐบาล” ของ “อภิสิทธิ์” ถือว่าสุดยอดคารมคมหอก ไม่แพ้ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งของ “ชวน” เป็นการอภิปรายและตอบคำถาม ที่ทำเอาคนไทยเฝ้าติดตามมากที่สุด เทียบกับนักการเมืองคนอื่น
ไม่แปลกที่ “คุณปลื้ม” หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล จะออกโลงเชียร์ให้กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการชี้ว่า ลองเอา “อภิสิทธิ์” ไปเทียบหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วถ้ามีการ “ดีเบต” ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์” สู้ได้หมด ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย
เหนืออื่นใด สิ่งที่น่าพูดถึงไปกว่าที่ “คุณปลื้ม” พูดเอาไว้ก็คือ ในฐานะคนไทย ไม่เพียง “อภิสิทธิ์” เหมาะสมกับหน้าพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็เท่ากับมี ตัวเลือก ที่ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นด้วย หรือใครว่า ไม่จริง!?







