ส่องแผนฎีกา‘อภัยโทษ’ซ้ำสอง ไพ่ ‘ทักษิณ’ ลุ้นรับโทษ 1 ใน 5

ประเมินโอกาสการยื่นถวายฎีกา ครั้งที่ 2 ของ "ทักษิณ ชินวัตร" อาจใช้เกณฑ์รับโทษมาแล้ว 1 ใน 5 และมีสิทธิได้รับการอภัยโทษได้ในวันวโรกาสวันสำคัญ
KEY
POINTS
- ทักษิณ ชินวัตร ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษเป็นครั้งที่สอง หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุก 1 ปี ซึ่งก่อให้เกิดข้อถกเถียงด้านกฎหมายว่าจะทำได้หรือไม่
- อดีตผู้พิพากษา ซึ่งมีประสบการณ์มองการยื่นฎีกาซ้ำสองอย่างกระชั้นชิดเป็นเรื่อง "มิบังควร" และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากอดีตนายกฯฯ เพิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปีไปแล้ว
- ช่องทางเป็นไปได้ที่สุด "ทักษิณ" เป็นผู้ต้องขังอายุ 70 ปีขึ้นไป ควรรอรับโทษให้ครบ 1 ใน 5 ของโทษ (ครบกำหนด 20 พ.ย. 2568) เพื่อให้เข้าเกณฑ์ได้รับการอภัยโทษในวโรกาสสำคัญพร้อมกับนักโทษคนอื่น
เกิดเป็นข้อถกเถียงในแง่มุมข้อกฎหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่า การที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ถูกศาลสั่งบังคับโทษเข้าไปคุมขังในเรือนจำ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 จากกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาบังคับโทษ 1 ปี ในคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ได้มีการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา เพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลอีกครั้งนั้นทำได้หรือไม่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ขณะปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ได้ทำเอกสารกราบเรียนถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอถวายฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ครั้งที่ 2 ให้กับนักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ซึ่งเป็นเอกสารฎีกาทูลเกล้าฯพร้อมเอกสาร 1 ชุด และสำเนาหนังสือฉบับนี้ 1 ชุด
โดย พ.ต.อ.ทวี ได้ระบุถึงการถวายฎีกาครั้งนี้ให้กับอดีตนายกฯ รวม 8 ข้อ และระบุความเห็นในย่อหน้าสุดท้ายว่า “กระทรวงยุติธรรมพิจารณาแล้วขอเรียนว่า นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ได้ยอมรับคำพิพาษาของศาลฎีกา โดยยินยอมเดินทางกลับมารับโทษและมีคุณงามความดีขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนหลายโครงการ”
“อย่างไรก็ดี เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งคดีหมายเลยแดง บค 1/2568 ลงวันที่ 9 ก.ย. 2568 ให้จำคุกนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ 1 ปี จึงเห็นควรยกฎีการายนี้เสีย ตามที่กรมราชทัณฑ์เสนอ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาและนำความขึ้นกราบบังคมเพื่อทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ในโอกาสอันควร ขอแสดงความนับถือ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม”
การยื่นอภัยโทษรอบนี้ทำให้ถูกมองว่าเป็นการขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่2 หลังจากครั้งแรกในสมัยนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยลงนามสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ “ทักษิณ” จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ จงรักภักดี และมีอาการป่วย ยอมรับการกระทำผิดและสำนึกในความผิด หลังศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาจำคุก รวม 3 คดี บังคับโทษ 8 ปี
ล่าสุด พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ตอบคำถามถึงกระแสข่าวที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ตีกลับการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 ของทักษิณมายังกระทรวงยุติธรรม ว่า ได้สั่งให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้อกฎหมาย และให้คณะกรรมการสรุปเรื่องมาให้ทราบ กำหนดภายใน 3 วัน จากนั้นจะมีมติว่าจะนำเสนอกลับไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่
ขณะที่ฝ่ายคนของพรรคเพื่อไทยรวมถึงทนายประจำตัวทักษิณที่มองว่าสามารถกระทำได้ เพราะเข้าเกณฑ์ที่จะยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษได้
โดยกรณีนี้ สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ปัจจุบันได้ลาออกจากผู้พิพากษาและมีตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์ด้านกฎหมายและการปฏิรูปกระบวนยุติธรรม พรรคไทยภักดี ให้ความเห็นผ่าน "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ มีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษได้ ซึ่งเป็นสิทธิของนักโทษอยู่แล้ว ส่วนประเด็นที่ควรพิจารณาสมควรหรือไม่นั้น ตามระบบกฎหมายบ้านเราจะต้องร้องไปถึงองค์ประมุข คือพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ใช่ตัวนักโทษยื่นร้องไปที่กระทรวงยุติธรรมอย่างเดียว"
ส่วนแง่มุมกรณี “ทักษิณ”ขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำสอง หลังได้พระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษลดโทษคำคุก 8 ปีเหลือ 1 ปีเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 หลังเดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 ซึ่งเรื่องนี้อดีตผู้พิพากษามองว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีพระเมตตาแล้ว
เรื่องนี้ "สุโรจน์" มองว่าตั้งแต่รับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษามา 32 ปี เคยผ่านการเป็นประธานกรรมการตรวจสอบการปล่อยตัวผู้ต้องขังร่วมกับเรือนจำในการขอฎีกาพระราชทานอภัยโทษนั้น เห็นว่ากรณีทักษิณได้ยื่นฎีกากระชั้นชิด เพราะเพิ่งถูกบังคับโทษจำคุกเมื่อ 9 ก.ย. 2568 และได้มีเอกสารฎีกาเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 15 วันเท่านั้น"
“สุโรจน์”มองว่าการยื่นฎีกาซ้ำสองนี้ เห็นว่า “มิบังควร” ในระบบกฎหมายไทยและระบบระเบียบกรมราชทัณฑ์ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นและจารีตประเพณีของเรา
“ตรงนี้ผิดแปลกไม่ไช่ปกติของวิญญูชนที่สังคมรับได้ โดยเนื้อหาการกระทำคุณทักษิณทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรได้รับควรเป็นปกติเหมือนนักโทษคนอื่น สิ่งที่ท่านจะได้รับประโยชน์หลังได้รับพระะราชทานอัยโทษ 8 ปี เหลือ 1 ปี ควรกลับสู่จุดเดิมเหมือนนักโทษคนอื่น"
อดีตผู้พิพากษา เล่าว่าทุกครั้งที่มีการขอพระราชทานอภัยโทษ นั้นซี่งตนเองก็เคยร่วมเป็นประธานกรรมการปล่อยตัวฯ กรณีผู้ต้องขังที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ถ้าถูกจำคุกระยะสั้นและได้รับโทษมาแล้ว 1ใน 5 ของโทษ ส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์ คือได้ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ให้ปล่อยนักโทษรายนั้นเลยไป"
ในมุมมองประสบการณ์ของ “สุโรจน์” จึงเห็นว่า เข้าใจว่าทักษิณต้องใช้กลไกตรงนี้เพื่อให้เกิดความสง่างามเสมอภาคคือต้องได้รับโทษมาก่อน 1 ใน 5 ของโทษ ถ้านับจากวันที่ 9 ก.ย. 2568 จะครบเกณฑ์ 1 ใน 5 ได้คือวันที่ 20 พ.ย. 2568
อย่างไรก็ตาม ระบบกฎหมายไทย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปัจจุบันนักโทษจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดวันต้องขังหรืออภัยโทษได้ตามวโรกาส โดยต้องจำคุกมาแล้ว 1ใน 3 ของโทษตามหมายจำคุกนั้น แต่กรณีกรณีทักษิณ หากนับแต่ 9 ก.ย. 2568 ถ้า 1 ใน 3 คือจะจบวันที่ 8 ม.ค. 2569 ซึ่งจะเข้าเกณฑ์มาตรฐานตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และตามกฎหมายลูกและ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ
ส่วนกรณี “ทักษิณ” มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปจะครบเกณฑ์ 1 ใน 5 คือรับโทษมาแล้ว 73 วันครบวันที่ 20 พ.ย. นี้ ดังนั้น วันสำคัญข้างหน้าที่จะมีการพระราชทานอภัยโทษนักโทษทั่วประเทศ ตามวโรกาสสำคัญคือ วันที่ 5 ธ.ค. 2568
หาก “ทักษิณ”ยื่นฎีกาโดยใช้เกณฑ์นี้หลังวันที่ 20 พ.ย.นี้ไป ก็จะเข้าเกณฑ์ได้รับพระระราชทานอภัยโทษลดโทษพร้อมกับนักโทษทั่วประเทศ คือ ออกจากเรือนจำทั้งหมดเลย ซึ่งหลักเกณฑ์ตรงนี้ “สุโรจน์” มองว่าจะเหมาะสมที่สุด มากกว่าการใช้สิทธิยกฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ผ่านนายกฯ เป็นกรณีส่วนบุคคล
“การใช้สิทธิส่วนตัวหมดไปแล้ว โดยความเคารพ ผมเห็นใจท่าน แต่โดยหลักการต้องเอาความรู้สึกส่วนตัวออกไปก่อน คุณทักษิณต้องรอเกณฑ์รับโทษ 1 ใน 5 คือเลยวันที่ 20 พ.ย. หลังจากนั้นท่านก็มีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษได้”
ถึงแม้ อดีตนายกฯ ทักษิณ เคยทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติมากมาย ได้ถูกจำคุกและมีคุณงามความดีที่สามารถนำมาลบหักล้างโทษจำคุกได้ แต่กรณีนี้้ “ทักษิณ” เคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณไปแล้ว เมื่อครั้้งได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ 1 ปี เมื่อปี 2566
“ผมเป็นผู้พิพากษามา 32 ปี เข้าใจว่าไม่เคยมีนักโทษรายใดได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ (กรณีพระราชทานอภัยลดโทษ) ถ้าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษอีก ท่านต้องเข้าสู่ระบบปกติที่เสมอภาคกับนักโทษรายอื่นที่ถูกจองจำในเรือนจำ”
ฉะนั้น เมื่อมีถวายฎีกาอภัยโทษซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 จึงทำให้อดีตผู้พิพากษาสุโรจน์ ไม่เห็นด้วยและ ไม่เหมาะสมหลายประการ เพราะไปกระทบต่อเบื้องพระยุคลบาทของพระมหากษัตริย์
“นับตั้งแต่คุณทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษจากองค์พระประมุข ผมเห็นว่าจะต้องไม่เสนออะไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีพระบรมราชโองการอภัยลดโทษให้คุณทักษิณ คือจะต้องปฏฺิบัติตาม ไม่ใช่ทูลเกล้าฯ เพื่อลดความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมราชโองการครั้งแรก เพราะพระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ควรให้สังคมวิตกกระทบ”
“สุโรจน์”ย้ำทิ้งท้ายว่า ถึงโทษจำคุกของอดีตนายกฯ ขณะนี้ว่า 1.คุณทักษิณไม่สามารถได้เกณฑ์พักลงโทษ และ 2.คุณทักษิณไม่อาจจำคุกนอกเรือนจำได้
ดังนั้นสูตรเดียวที่จะพ้นโทษได้คือต้องยึดตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เรื่องการพักโทษคื รอพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสวันสำคัญของประเทศ ใน 5 ธ.ค. 2568 คือรับโทษมาแล้ว 1ใน 5 ส่วนช่องทางอื่นไม่มีช่องทางไหนที่เหมาะสมไปกว่านี้







