เปิดหนังสือลับ กกต.ผ่าพฤติการณ์ ‘ยังบลัดน้ำเงิน’ ต้นคิดฮั้ว สว.

เปิดหนังสือ กกต.ผ่าพฤติการณ์กล่าวหา ‘กลุ่มยังบลัดสีน้ำเงิน’ ลูกท่านหลานเธอ ‘ภูมิใจไทย’ ผู้ริเริ่มต้นคิด-วางแผนจัดการ ‘ฮั้ว สว.’ เปิดหมดขั้นตอนการทำโพยฮั้ว-จ่ายเงิน
KEY
POINTS
- เปิดเอกสารลับ กกต. แจ้งข้อกล่าวหา สส. รุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย หรือ "กลุ่มยังบลัด" เป็นผู้ริเริ่มวางแผนจัดตั้งการเลือก สว.
- แผนการดังกล่าวมีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์คำนวณคะแนน จัดหาผู้สมัครทุกกลุ่มอาชีพทั่วประเทศ และให้เงินสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละระดับ
- มีการจัด "ทีมติวเตอร์" เพื่อควบคุมและบงการให้ผู้มีสิทธิเลือก สว. ลงคะแนนตาม "โพยฮั้ว" ที่จัดทำไว้ล่วงหน้า
แม้ว่าจะผ่านการเลือก สว.ปี 2567 มานานนับปีเศษแล้ว แต่ “คดีฮั้ว สว.” ยังอยู่ในขั้น “ลูกผีลูกคน” เพราะว่าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะแม่งานหลัก ยังมิได้สรุปผลอย่างเป็นทางการ หลังจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ดำเนินการสอบสวนแล้วเสร็จ สรุปสำนวนพบว่ามีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 229 คน แบ่งเป็น สว. 138 คน และบุคคลที่เป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย เครือข่าย-เครือญาตินักเลือกตั้งระดับ “บิ๊กเนม” อีก 91 คน
ปัจจุบันขั้นตอนดังกล่าว เลขาธิการ กกต.ได้พิจารณาลงนามส่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งคณะที่ 36 ไปดำเนินการตั้งแต่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีตามกฎหมายคณะอนุกรรมการฯ มีกำหนดเวลา 90 วันหลังจากนี้ เพื่อพิจารณาสำนวนต่อ ก่อนสรุปส่งให้ที่ประชุมใหญ่ กกต.ชี้ขาด ซึ่งในห้วงเวลา 90 วันนี้ ทอดยาวไปถึงไทม์ไลน์ใกล้ยุบสภาฯ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ดีในอีกทางหนึ่ง คณะกรรมการสืบสวนฯ คณะที่ 26 ยังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมอีก 2 สำนวน เนื่องจากพบพฤติการณ์ และข้อร้องเรียนว่า มีหลายพรรคการเมืองดำเนินการลักษณะเดียวกับพรรคภูมิใจไทย เบื้องต้นมีการเปิดเผยมา 2 ชื่อคือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคประชาชน (ปชน.) ด้วย
เงื่อนปมที่น่าสนใจ และหลายคนยังกังขาคือ “คดีฮั้ว สว.” เกิดขึ้นได้อย่างไร มีที่มาที่ไปลักษณะไหน ใครเป็นต้นคิด?
กรุงเทพธุรกิจ เปิดข้อมูลจากเอกสารสำนักงาน กกต. ในส่วนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 สำนวนแรก ที่แจ้งข้อกล่าวหาแก่ “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” และบุคคลดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหาจาก กกต.แล้ว พบรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
ในเอกสารแจ้งข้อกล่าวหา “คดีฮั้ว สว.” ดังกล่าว เปิดเผยพฤติการณ์ของ “กลุ่มยังบลัด” หรือ สส.หน้าใหม่ ที่เป็นระดับ “ลูกท่านหลานเธอ” ทายาท “บิ๊กเนมนักเลือกตั้ง-เครือข่าย” ภายในพรรคภูมิใจไทย อย่างน้อย 8 คน หลายคนเป็นที่รู้จักมักคุ้นแก่สาธารณะ และเป็นระดับ “บ้านใหญ่” ของหลายจังหวัดทั้งภาคอีสานใต้ และภาคกลาง เป็น “ผู้ริเริ่ม” หรือ “ร่วมสนับสนุน” วางแผนเพื่อดำเนินการฮั้ว สว.ดังกล่าว ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 มาตรา 70 มาตรา 76 มาตรา 77 (1) และมาตรา 62
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มี สส.สีน้ำเงิน ในกลุ่มยังบลัด อย่างน้อย 8 คน คิดริเริ่มในการวางแผนให้ได้มาซึ่ง สว. โดยมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ทั้งหมดได้จัดทำและวางระบบปฏิบัติการขึ้นมาในลักษณะเป็น “โปรแกรมออฟไลน์” จากนั้นคณะบุคคลดังกล่าวที่เป็นคนริเริ่ม ได้นำแผนการที่คิดไว้เตรียมไปนำเสนอในการประชุม กก.บห.ภูมิใจไทย ณ สำนักงานใหญ่ โดยมีการนำเสนอแผ่นหน้าจอในการประชุมของพรรคภูมิใจไทย โดยกล่าวอ้างว่ามี สส.ภูมิใจไทย และบุคคลระดับ “บ้านใหญ่อีสานใต้” เข้าร่วมประชุมในการเสนอแผนดังกล่าวด้วย
สาระสำคัญในข้อกล่าวหา ระบุว่า 1 ใน กก.บห.พรรคภูมิใจไทย ในกลุ่ม “ยังบลัด” กำหนดให้ สส.พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้ปฏิบัติในการเตรียม จัดหา ผู้สมัครรับเลือก สว.ระดับอำเภอ ให้ครบทุก 20 กลุ่มอาชีพ โดยเป็นการเตรียมการ และจัดหาผู้สมัครทั้งประเทศ เพื่อที่ต่อไปไม่ว่าผู้สมัครในกลุ่มใด จะมีการจับฉลากไปเลือกไขว้กับกลุ่มใดสายใด จะพบเจอกันในระหว่างดำเนินการเลือก เพราะได้วางคนไว้ทุกกลุ่มแล้ว โดยมีโปรแกรมในการคิดคำนวณคะแนนของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น สว.ระดับประเทศในรอบไขว้ของแต่ละคนเป็ฯหลักประกันไว้ คือจำนวน 60 คะแนน
สำหรับแผนการค่าใช้จ่าย ผู้ถูกกล่าวหาใน “กลุ่มยังบลัด” จะให้เงินสดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละจังหวัด โดยมีเงินขั้นต่ำ จำนวน 1 ล้านบาท และกำหนดให้ไปรับเงินสดที่สำนักงานใหญ่พรรคภูมิใจไทย กทม.
โดยในการเลือก สว.ระดับอำเภอ มีการกำหนดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้สมัครที่จะเป็น “โหวตเตอร์” ตั้งแต่ 10,000-50,000 บาท ส่วนระดับจังหวัดให้ค่าตอบแทนจำนวน 50,000 บาท ในระดับประเทศได้ค่าตอบแทน 200,000 บาท ทั้งนี้ค่าตอบแทนที่ได้รับอาจมีจำนวนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากหรือง่ายในการหาผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกในแต่ละกลุ่มอาชีพ โดยในการจัดหาผู้สมัครนั้น ให้มุ่งเน้นในจังหวัดเป้าหมายสำคัญ เช่น พิจิตร อ่างทอง อุทัยธานี บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ เลย สตูล พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
หลังจากผ่านการเลือก สว.ระดับจังหวัดแล้ว “กลุ่มยังบลัดสีน้ำเงิน” ได้วางแผนเตรียมการกำหนดจัดหาสถานที่เข้าพักก่อนเดินทางไปเลือก สว.ระดับประเทศในวันที่ 26 มิ.ย. 2567 ซึ่งเป็นสถานที่ให้แต่ละทีมจัดหากันเอง โดยมีระยะห่างจากเมืองทองธานี กทม. ซึ่งเป็นสถานที่เลือกระดับประเทศ ไม่เกิน 30-100 กิโลเมตร เช่น ปทุมธานี นครนายก พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น เพื่อให้แต่ละทีมได้ดำเนินการจัดประชุม เพื่อบงการชี้นำให้ผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศ จัดทำโพยที่มีหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร ที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า หรือเลขชุด หรือบล็อกโหวต (โพยฮั้ว)
โดยแต่ละสถานที่จะมีทีมงานที่เรียกว่า “ทีมงานติวเตอร์” เช่น ทีมงานติวเตอร์ของ สส.สีน้ำเงิน ในจังหวัดอีสานใต้ หรือทีมงานติวเตอร์ของ สส.สีน้ำเงิน ในจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เป็นต้น ซึ่งทีมติวเตอร์นี้ จะทำหน้าที่อธิบายกระบวนการหรือขั้นตอนจัดทำโพยฮั้วดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อให้มีผู้มีสิทธิเลือก สว.สามารถนำโพยที่มีหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า หรือเลขชุด หรือบล็อกโหวต (โพยฮั้ว) ซึ่งมีหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไปใช้ในการลงคะแนนในบัตรลงคะแนนเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งในรอบแรก คือรอบลงคะแนนเลือกผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศภายในกลุ่มเดียวกัน และรอบสอง คือรอบลงคะแนนผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศในกลุ่มอื่น แต่ละกลุ่มในสายเดียวกัน (เลือกไขว้) ตามที่มีการกำหนดกันล่วงหน้า
เมื่อมีการปฏิบัติตามแผนดังกล่าวจนกระทั่งผู้ได้รับเลือกเป็นผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศแล้ว “กลุ่มยังบลัด” และ กก.บห.พรรคสีน้ำเงิน ได้กำหนดเป็นหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขว่า ถ้าทีม สส.ใด หรือทีมใดมีผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศ ในทีมของตนเอง จำนวน 20 คน หรือประมาณ 15-20 คน จะได้โควตาในการเป็น สว.จำนวน 1 คน และขั้นตอนต่อจากนั้นจะให้หัวหน้าทีมแต่ละทีม จัดส่งรายชื่อ สกุล หมายเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร และกลุ่มอาชีพ เพื่อจะได้นำไปกำหนดไว้ในโพยฮั้วในรอบไขว้ เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่รายชื่อบุคคลแต่ละคนที่ส่งมาว่า จะได้รับเลือกเป็น สว.
ในทางปฏิบัติ กำหนดส่งรายชื่อให้แก่ “คนสนิท” ของ สส.อีสานใต้ รายหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาท จัดตั้ง “ทีมติวเตอร์” ข้างต้นด้วย จากนั้น สส.รายนี้จะส่งต่อให้ สส.ภาคกลาง หนึ่งใน “กลุ่มยังบลัด” ซึ่งเป็นผู้คิดริเริ่ม เพื่อดำเนินการต่อไปในการจัดทำโพยที่มีหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่มีการจัดทำไว้ล่วงหน้า หรือเลขชุด หรือโพยฮั้ว
โดยมีวิธีการจัดทำโพยฮั้วในรอบเลือกไขว้เป็นชุด ๆ แต่ละชุดมี 5 หมายเลข เมื่อรวมกันทุกชุดแล้ว จะมีเพียง 7 หมายเลข หมายความว่าจะได้ สว.ในแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 7 คน โดยมีหลักประกันของคะแนนที่แต่ละคนจะได้รับของบุคคลตามรายชื่อที่ส่งมา ซึ่งคำนวณจากโปรแกรมดังกล่าวได้ จำนวน 60 คะแนน และในเบื้องต้นโปรแกรมดังกล่าวได้คำนวณคร่าว ๆ ว่า รายชื่อที่พรรคภูมิใจไทยดำเนินการนั้น จะได้เป็น สว.ประมาณ 110-120 คน
ส่วนการใช้จ่ายเงินเพื่อดำเนินการตามแผนดังกล่าว “กลุ่มยังบลัด” ได้กำหนดให้ไปรับเงินจาก “คนสนิท” สส.อีสานใต้ คนหนึ่ง บริเวณชั้น 4 ห้องประชุมสำนักงานใหญ่พรรคการเมืองชื่อดัง โดยให้ทุกคนมีการลงลายมือชื่อรับเงินทุกครั้ง สำหรับในส่วนของเอกสารใบลาออกจาก สว.นั้น มีการกำหนดให้หัวหน้าทีมแต่ละสายจัดการทำเอกสารใบลาออกจาก สว.ไว้เป็นการล่วงหน้า โดยให้มีการลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ต้องลงวันที่ จากนั้นมีการกำหนดให้หัวหน้าทีมแต่ละสาย ทุกคนต้องส่งใบลาออกที่ผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศ ได้ลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้ลงวันที่ให้แก่ “คนสนิท” สส.รายดังกล่าว เพื่อจัดเก็บรวบรวมไว้
หลังจากดำเนินการตามแผนทั้งหมดแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศ ได้ใช้โพยฮั้วดังกล่าว ในการลงคะแนนเลือก สว.ระดับประเทศ จนทำให้ผู้มีสิทธิเลือก สว.ระดับประเทศที่มีหมายเลขประจำตัวผู้สมัครปรากฏอยู่ตามโพยฮั้วดังกล่าว ได้รับคะแนนจากการเลือกอยู่ในลำดับที่จะได้รับเลือกเป็น สว. ตามจำนวนที่ใกล้เคียงกับที่ “กลุ่มยังบลัด” วางแผนไว้
ภายหลัง กกต.ประกาศผลการเลือก สว.แล้ว 1 ในกลุ่มยังบลัด ได้กระทำหรือร่วมกันกระทำ หรือสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจกับ “บิ๊กเนมบ้านใหญ่อีสานใต้” ในการดำเนินการเพื่อให้ สว.เดินทางไปรวมตัวประชุมที่โรงแรมชื่อดังย่านใจกลาง กทม. เพื่อรับนโยบายกับ “บิ๊กเนม” รายนี้ โดยเขาเป็นผู้กำหนดว่าจะให้บุคคลใดดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา รวมถึงประธาน กมธ.ชุดต่าง ๆ ในวุฒิสภา
คณะกรรมการฯ คณะที่ 26 ของสำนักงาน กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของ “กลุ่มยังบลัด” และ กก.บห.พรรคภูมิใจไทย รวมทั้งทีมงานต่าง ๆ เป็นกระบวนการวางแผนและลงมือกระทำร่วมกัน หรือแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.ที่มิได้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ทั้งยังขัดต่อหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 70 ประกอบมาตรา 36 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.
อีกทั้งการกระทำดังกล่าวยังเป็นการให้ เสนอให้เงิน หรือทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิลงคะแนน หรือไม่ลงคะแนนแก่ผู้ใด เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. นอกจากนี้ “กลุ่มยังบลัด” ที่เป็น กก.บห. ถือว่ากระทำการอันเป็นการช่วยเหลือโดยวิธีใด ๆ ให้ผู้สมัครผู้ใดได้รับเลือกเป็น สว. จึงฝ่าฝืนมาตรา 76 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. การกระทำดังกล่าวมีผลให้การเลือก สว.ระดับประเทศ มิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม ตามมาตรา 62 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.
อย่างไรก็ดี "กลุ่มยังบลัด" และบุคคลผู้ถูกกล่าวหาข้างต้น ยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในกระบวนการยุติธรรม ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนของคณะอนุกรรมการวินิจฉัยฯ กกต. คณะที่ 36 ก่อนจะนำเสนอที่ประชุมใหญ่ กกต.ชี้ขาด ดังนั้นจึงยังถือว่าเป็นผูู้บริสุทธิ์อยู่ทั้งหมด จนกว่าจะมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล







