ยื้อคดีฮั้ว สว.ถึงยุบสภาฯ รัฐบาลน้ำเงินเช็คบิล ‘ก๊กแดง’

คดีของ“ภูมิธรรม-ทวี” 2 หัวหอกที่ตะลุยสอบ “คดีฮั้ว สว.จะมีบทสรุปออกมาอย่างไร จึงน่าจับตาเป็นอย่างมาก และอาจกลายเป็น“บรรทัดฐาน”ของ“รัฐมนตรี”
KEY
POINTS
- คดีฮั้ว สว. มีแนวโน้มถูกยื้อเวลาการพิจารณาไปจนถึงช่วงการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน (ก๊กสีน้ำเงิน)
- การสืบสวนคดีถูกขยายผลไปตรวจสอบพรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งถูกมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อทำให้คดีเดิมของก๊กสีน้ำเงินล่าช้าออกไป
- คดีดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือเช็คบิลทางการเมือง โดยอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อน (ก๊กสีแดง) ที่เคยเป็นผู้สั่งสอบสวนกำลังถูกดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
เริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการ สำหรับ “รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” หลังจบการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แม้จะโดน “ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น” ดาหน้าถล่มอย่างหนัก เกี่ยวกับประวัติของ “รัฐมนตรี” ที่อาจไม่มีความเหมาะสมในการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงหวั่นเกรงจะเข้าไป “แทรกแซง” คดีค้างเก่าที่เป็นจุดด่างพร้อยของประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่าง “ฮั้ว สว.-เขากระโดง” ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ
สำหรับกรณี “ที่ดินเขากระโดง” นั้น มีความเคลื่อนไหวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไปแล้ว จะประเดิมฟ้องต่อศาลเพิกถอนโฉนดแบบ “รายแปลง” หลังจากเคยยื่นให้อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาดำเนินคดีให้ตั้งแต่ มี.ค. 2568 แต่ปัจจุบันผ่านมาราว 6 เดือนแล้วไม่มีความคืบหน้า จึงถึงเวลา รฟท.ดำเนินการฟ้องเอง
โดยที่ดิน 2 แปลงแรกที่จะยื่นฟ้องศาลคือ แปลงที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด และชงกรมที่ดินเพิกถอนไปก่อนหน้านี้
ขณะที่กรณี “ฮั้ว สว.” ผ่านมา 1 ปีเศษแล้ว แต่กลับแทบไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร แม้ว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง ชุดที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็น “แม่งาน” สืบสวนคดีนี้ จะสรุปสำนวน โดยมีกระแสข่าวว่ามีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 229 คน แบ่งเป็น สว.ชุดปัจจุบัน 138 คน กรรมการบริหารพรรคการเมือง สส. และสมาชิกพรรคการเมือง รวมถึงเครือข่ายรวม 91 คน ในจำนวนนี้มีไม่น้อยเป็น “บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” หรือบางรายเป็น “เครือข่าย-เครือญาติ” โดยสำนวนนี้ถูกชงผ่านมือเลขาธิการ กกต.คนปัจจุบันที่ชื่อ “แสวง บุญมี” ไปแล้วตั้งแต่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป
สำหรับขั้นตอนการไต่สวนเรื่องนี้ หลังจากคณะกรรมการฯชุดที่ 26 สรุปสำนวน จะส่งมาให้เลขาธิการ กกต. หลังจากนั้นเลขาธิการ กกต.จัดส่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งคณะที่ 26 วินิจฉัย ซึ่งดำเนินการแล้วตั้งแต่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยอนุกรรมการฯจะมีเวลา 90 วันในการพิจารณา ก่อนส่งให้ที่ประชุม กกต.ชุดใหญ่ ชี้ขาด
ดังนั้นขั้นตอนปัจจุบัน สำนวนดังกล่าวอยู่ในมือของ “อนุกรรมการฯ” มีเวลาพิจารณาตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.ไปจนถึง ม.ค. 2569 ซึ่งจะสรุปผลช่วงเดียวกับไทม์ไลน์ “เลือกตั้งใหม่”
ประเด็นนี้จึงน่าสนใจ เพราะถ้า “คดีฮั้ว สว.” ถูกยื้อไปจนถึงการเลือกตั้งใหม่ อาจส่งผลดีต่อ “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ในการจัดทำสารพัดร่างกฎหมาย นโยบายต่าง ๆ ที่ต้องผ่าน “สภานิติบัญญัติ” อาจส่งผลถึง “คะแนนนิยม” ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย นอกจากนี้อาจมีผลในการตัดสินใจพิจารณา “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นหน้าที่ของ “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ตาม MOA ที่ลงไว้กับ “ก๊กส้ม”
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ “กลุ่ม สว.สำรอง” นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เจ้าประจำ พร้อมด้วยคณะ มา กกต.อีกครั้ง ให้กำลังใจแก่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งคณะที่ 26 ของสำนักงาน กกต. เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะมี “มือมืด” ใช้อิทธิพลทางการเมือง “แทรกแซงคดี” และอาจ “ยื้อเวลา” เพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะ “รัฐบาลชุดปัจจุบัน” ที่มีพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เป็นแกนนำ
นอกจากนี้ ประเด็นการ “ฮั้ว สว.” ยังเริ่ม “หว่านแห” ตรวจสอบ “ทุกก๊ก-ทุกสี” จากเดิมลุยตรวจสอบแค่ “สีน้ำเงิน” มองเผิน ๆ เหมือนเป็นเรื่องที่ดี แต่เบื้องลึกแล้วต่างรับรู้กันว่าเป็นเกม “ยื้อเวลา” เพื่อทอดให้คดีฮั้ว สว.ของ “ก๊กน้ำเงิน” ยืดยาวออกไป เดิมจะมีการตั้งคณะกรรมการฯชุดที่ 27 ขึ้นมาไต่สวนเสียด้วยซ้ำ แต่เจอแรงต้านหนัก ทำให้ต้องใช้คณะกรรมการฯชุดที่ 26 ชุดเดิมกับที่ไต่สวน สว.สีน้ำเงิน มาดำเนินการแทน
ดังนั้นเห็นได้ว่า พลันที่ “ก๊กส้ม” ขุดประเด็น “ฮั้ว สว.” มาอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาลระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย.ที่ผ่านมา จะมี สว.บางคน “ร้อนตัว” ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของ สส.ปชน. รวมถึงจี้ให้หยุดอภิปรายเรื่องนี้ ไปพูดเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลแทน ทำเอาสภาฯ วุ่นวายหนัก เสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง โดย สว.คนที่ออกตัว เช่น “ประเทือง มนตรี” สว.พัทลุง กลุ่ม 15 อดีตผู้สมัคร สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย พี่ชาย “เจ๊เปี๊ยะ” นาที รัชกิจประการ เป็นต้น
อีกด้านหนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” แม่งานอีกหน่วยงานหนึ่ง ดำเนินการสอบสวน “คดีฟอกเงิน-อั้งยี่” จากการกระทำผิดในการ “ฮั้ว สว.” โดยมีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วย สว.และ สว.เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด ทั้งนี้ การดำเนินการในลำดับต่อไป ดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกผู้สมัคร สว. 1,200 คน เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยสอบพยานไปแล้วไม่ต่ำกว่า 90 ปาก
มีกระแสข่าวว่า 3 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งเคยทำงานในคณะกรรมการฯ ชุดที่ 26 เดิมนั้น ยังคงเดินหน้าทำงานอยู่ต่อเนื่อง โดยจะมีการหว่านแหไปตรวจสอบในส่วนของพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่อาจพัวพันกับการฮั้ว สว.ด้วย เนื่องจากพบข้อมูล พยานหลักฐาน เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอื่นอีก โดยอ้างถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรค ปชน.โดยมีพฤติการณ์ทางคดีคล้ายคลึงกับกรณีพรรคภูมิใจไทย
คดีฮั้ว สว.กำลังจะกลายเป็นคมหอกกลับมาทิ่มแทง “ก๊กสีแดง” พลันที่ “ฟ้าเปลี่ยนสี” กลเกม “นิติสงคราม” ก็ยังคงโถมใส่อดีตรัฐบาล โดย 2 หัวหอกหลักที่สั่งลุยสอบคดีฮั้ว สว.มาแต่แรกอย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” อดีตรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย และ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อดีต รมว.ยุติธรรม ยังคงมีคดีค้างอยู่ในชั้นการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะพ้นจากเก้าอี้ไปแล้วก็ตาม
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 2 เสียง เห็นว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51 โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 6 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า เมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51
ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาส่วนมาก “นักการเมือง” ที่ถูกไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ หากพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ศาลมักไม่รื้อคดีมาไต่สวนใหม่ เช่น กรณีทหารเสือ กปปส. อย่าง พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่แม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพ สส. แต่เนื่องจากลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีก่อน ศาลจึงมิได้วินิจฉัยในประเด็นต้องพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี
ทว่ามีบางกรณีในอดีตที่แม้ตัวบุคคลจะลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังคงวินิจฉัยจนคดีถึงที่สุดอยู่ เช่น กรณี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ยุบสภาฯ พ้นจากตำแหน่งนายกฯไปแล้วตั้งแต่ ธ.ค. 2556 หลังจากนั้นเธอเป็นรักษาการนายกฯ กระทั่งในเดือน พ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้พ้นจากนายกฯอยู่ดี
ดังนั้นคดีของ“ภูมิธรรม-ทวี” 2 หัวหอกที่ตะลุยสอบ “คดีฮั้ว สว.จะมีบทสรุปออกมาอย่างไร จึงน่าจับตาเป็นอย่างมาก และอาจกลายเป็น“บรรทัดฐาน”ของ“รัฐมนตรี” ที่เข้าไปสั่งการตรวจสอบประเด็น“ทุจริต”ในอนาคตก็เป็นได้
ที่สำคัญ “คดีฮั้ว สว.” ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดด่างพร้อยสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะลากตัว “หัวขบวน” มาลงโทษ หรือสุดท้ายเป็นแค่ “มวยล้มต้มคนดู” เรื่องนี้ต้องติดตาม อีกไม่นานรู้ผล







