ก่อนปมถนนยุบ ผ่าพอร์ตหุ้น ‘ชาญวีรกูล’ STECON ‘ลูกอนุทิน’ หุ้นใหญ่

เครือข่าย “พอร์ตหุ้น” ในอาณาจักร STECON ยักษ์ใหญ่รับเหมาก่อสร้าง “ร่างใหม่” ของ STEC พบว่า ตระกูล “ชาญวีรกูล” ถือหุ้นใหญ่สุดผ่านเครือข่าย “บุตรชาย-บุตรสาว” ของ "อนุทิน"
KEY
POINTS
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่าตนไม่ได้ถือหุ้นในบริษัท ซิโน-ไทย (STEC) ซึ่งปัจจุบันคือ STECON แล้ว โดยได้ขายหุ้นทั้งหมดตั้งแต่ปี 2562 เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STECON คือ บุตรชาย และบุตรสาวของ นายอนุทิน (เศรณี และ นัยน์ภัค ชาญวีรกูล) ผ่านบริษัทโฮลดิ้งชื่อ "ซี.ที.เวนเจอร์" ซึ่งถือหุ้นใน STECON เป็นอันดับหนึ่ง
- เมื่อรวมหุ้นของบุตรทั้งสอง และญาติพี่น้อง ทำให้ตระกูล "ชาญวีรกูล" ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน STECON โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมกันทั้งทางตรง และทางอ้อมเกือบ 30%
เงื่อนปม “ถนนยุบตัว” บริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิระเมื่อสัปดาห์ก่อน ยังคงถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากสาธารณชนว่า เกิดจากสาเหตุอะไรที่ทำให้ถนนทรุดลงไปลึกราว 50 เมตร กว้าง 30*30 เมตร ซึ่งอาจเป็นหลุมใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ขณะที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รีบออกตัว พร้อมรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นผลกระทบจากการขุดอุโมงค์เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งมีผู้รับเหมาเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง “ช.การช่าง” และ “ซิโน-ไทย” ปัจจุบัน “หลุมยุบ” ดังกล่าว ถูก กทม. และหน่วยงานภาครัฐ เร่งเทซีเมนต์ลงไปเพื่อเตรียมเปิดการจราจรแล้ว
ขณะที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย สั่งให้กระทรวงคมนาคม ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ เพื่อหาสาเหตุ และผู้ต้องรับผิดชอบแก่เรื่องดังกล่าวโดยเร็ว
อย่างไรก็ดีประเด็นดังกล่าวถูก สส.พรรคประชาชน โดย “ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์” ตั้งกระทู้ถามสดถึง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้เมื่อ 2 ต.ค.2568 โดยมีตอนหนึ่งถามถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง “นายกฯ” ในฐานะอดีตผู้บริหารบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ขณะที่ผู้รับจ้างคือ กิจการร่วมค้า ช.การช่างและ ซิโน-ไทย การตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จะให้ความมั่นใจต่อการตรวจสอบที่ตรงไปตรงมาได้อย่างไร ตนขอให้กรรมการที่ตั้งขึ้น ทำงานเป็นอิสระ และทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์รัฐไม่ใช่นายทุน
ทว่า “อนุทิน” ซึ่งมาตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเองอธิบายว่า ประเด็นความเกี่ยวข้องของตนกับบริษัทผู้รับจ้างนั้น ตนอยู่ในการเมือง เป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2547 ตนมาจากภาคเอกชน ไม่ต่างจากผู้สถาปนาพรรคอนาคตใหม่ เมื่อตัดสินใจทำงานการเมือง รู้ถึงข้อจำกัดต้องเคลียร์ตัวเองให้เกลี้ยง ตนใช้เวลา 21 ปีในการเมือง การออกจากการเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนหลายแห่ง ไม่เฉพาะ บริษัทซิโน-ไทย เท่านั้น และเมื่อมีการเลือกตั้ง 2562 รู้ว่าพรรคภูมิใจไทย จะมีโอกาสเข้าทำงานในสภา อย่างยั่งยืน สิ่งล่าสุดที่ทำเมื่อปีนั้น คือ ขายหุ้นในบริษัท ซิโน-ไทย ผ่าน ก.ล.ต. จนหมด และไม่มีการถือหุ้นใดๆ ที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎระเบียบที่ทำงานการเมือง
“ผมไม่เกี่ยวข้องกิจการภาคเอกชนใดๆ ตั้งแต่ลาออกมาทำงานภาคการเมือง และเมื่อพ้นตำแหน่งทางการเมืองปี 2549 ตนไม่ได้กลับเข้าไปทำงานภาคเอกชนอีก กรณีนี้บริษัทรับจ้างที่ผมทำงาน 20 ปีก่อน การปกป้องเพื่อให้ประโยชน์ไม่มี ผม และซิโน-ไทย เหมือนไม่รู้จักกัน รู้แค่เป็นบริษัทก่อสร้าง และทำธุรกิจอยู่ แต่เมื่อผมอยู่ในภาครัฐ ไปตรวจดูได้ว่า ไม่มีตรงไหนที่ผมเคยใช้ความเกี่ยวข้อง อิทธิพล การโน้มน้าวใดๆ ช่วยเหลือบริษัทนี้ ผมสบายใจที่จะตอบว่า ผมให้สัตยาบันว่า นอกจากจะให้อิสระในการตรวจสอบ รวมถึงการตั้งกรรมการตรวจสอบความเสียหาย ที่เป็นสิทธิ รมว.คมนาคม ทั้งนี้การตรวจสอบต้องเน้นประโยชน์ของรัฐของราชการเป็นสำคัญ” นายอนุทิน กล่าว
อ่านข่าว: 'นายก' ให้สัตยาบัน ไม่เอื้อประโยชน์เอกชน-แทรกแซงตรวจสอบ ถนนยุบ
ประเด็นที่น่าสนใจ ปัจจุบัน “อนุทิน” มิได้มีการถือครองหุ้น “ซิโน-ไทย” หรือ STEC หนึ่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทย ที่มี “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” อดีตรัฐมนตรี หลายสมัย เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บุตรชาย เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในช่วงปี 2535 - 2547 ก่อนลาออกจากบริษัทมาเดินบนถนนการเมือง
ปัจจุบันหุ้น STEC ถูกผ่องถ่ายมาในชื่อ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ไม่ปรากฏชื่อ “อนุทิน” ถือครองหุ้นดังกล่าวอีกแล้ว แต่ตัวบริษัท “ซิโน-ไทย” ยังคงดำเนินกิจการอยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ โดยมี STECON ถือหุ้นใหญ่
สำหรับ “อนุทิน” ปัจจุบันถือครองหุ้น บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI อีกหนึ่งธุรกิจหลักของตระกูล “ชาญวีรกูล” เพียงอย่างเดียว โดยถือขอรับผลประโยชน์การถือหุ้นเกิน 5% ผ่านกองทุนการจัดการหุ้นส่วนของรัฐมนตรี ดำเนินการโดย บลจ.เกียรตินาคินภัทร เพื่อการจัดการทรัพย์สินของรัฐมนตรี เมื่อครั้ง “อนุทิน” นั่งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
อนุทิน แจ้งต่อ ป.ป.ช.เมื่อครั้งรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ทำสัญญาฉบับลงวันที่ 27 พ.ย.2566 ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเกียรตินาคินภัทร จำกัด จัดการหุ้นบริษัทเอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ "STPI" จำนวน 164,590,285 หุ้น
โดยในการเปิดเผยสัญญาจัดการหุ้นส่วนฯ ระหว่างนายอนุทิน กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเกียรตินาคินภัทร จำกัด ครั้งนี้เป็นสัญญาฉบับลงวันที่เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2567 ระบุรายละเอียดหลักทรัพย์ ณ วันเริ่มต้นสัญญาว่าเป็นหุ้น บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ "STPI" จำนวน 178,306,142 หุ้น โดยมีจำนวนหุ้นเพิ่มจากเดิม 13,715,857 หุ้น
STPI คือ ธุรกิจงานแปรรูป และติดตั้งโครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) ระบบท่อ (Piping) โรงงานสำเร็จรูป (Module) และ ผลิตภัณฑ์เหล็กอื่นๆ (Other Steelwork) ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาคาร รวมทั้งเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ
มี “อนุทิน” ซึ่งรับประโยชน์จากการถือหุ้นใน บลจ.เกียรตินาคินภัทร ถือหุ้นจำนวนใหญ่สุดลำดับ 1 จำนวน 178,306,142 หุ้น คิดเป็น 9.84% โดยมีคนในตระกูลชาญวีรกูล และเครือญาติร่วมถือด้วย เช่น นายยรรยง นิติสาโรจน์ (สกุลเดียวกับ อนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ น้องสาวแท้ๆ ของอนุทิน) ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 4 จำนวน 4.15% นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล (บิดาอนุทิน) ถือหุ้นใหญ่ ลำดับ 7 จำนวน 3.56% เป็นต้น
ทั้งนี้ “ซิโน-ไทย” หรือ STEC ขอเพิกถอนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อปรับโครงสร้างหุ้น โดยโอนหุ้น 1 ต่อ 1 ไปยังบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ตั้งแต่ ต.ค.2567 โดย STECON มีบริษัท ซี.ที.เวนเจอร์ จำกัด (บริษัทโฮลดิ้งของตระกูลชาญวีรกูล) ถือหุ้นใหญ่สุด 19.33% ที่เหลือมีคนในตระกูล “ชาญวีรกูล” ร่วมถือหุ้น และบริษัทอื่นๆ ร่วมถืออีกจำนวนไม่น้อย
บริษัท ซี.ที.เวนเจอร์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2535 ทุนปัจจุบัน 5,361,000,000 บาท ตั้งอยู่ที่ 32/55 ถนนสุขุมวิท 21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ลงทุนในธุรกิจอื่น มีกรรมการ 2 คนคือ นัยน์ภัค ชาญวีรกูล และ เศรณี ชาญวีรกูล บุตรสาว และบุตรชายของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ เม.ย.2567 ปรากฏชื่อ เศรณี ชาญวีรกูล ถือ 50.0001% และนัยน์ภัค ชาญวีรกูล ถือ 49.9999% นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2566 สินทรัพย์รวม 2,743,243,066 บาท หนี้สินรวม 399,725,860 บาท รายได้รวม 220,709,064 บาท รายจ่ายรวม 45,901,431 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 5,668,953 บาท เสียภาษีเงินได้ 31,394,122 บาท กำไรสุทธิ 137,744,558 บาท
บริษัท ซี.ที.เวนเจอร์ จำกัด ยังถือหุ้นในอีก 3 บริษัทใหญ่ ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ถือ 15.35% จำนวน 234,086,788 หุ้น มูลค่า 2,405,318,604 บาท บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) ถือรองลงมาที่ 6.91% จำนวน 30,000,000 หุ้น มูลค่า 81,681,283 บาท บริษัท พระราม 9 อัลไลแอนซ์ จำกัด ถือ 1.98% จำนวน 300,000 หุ้น มูลค่า 2,323,682 บาท และบริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ถือ 1 หุ้น
ส่วน STEC หรือ “ซิโน-ไทย” (เดิม) ยังถือหุ้นอีก 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด 20% บริษัท ไทย เมนเทนแนนซ์ คอนแทรคติ้ง จำกัด 19% บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) 9% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 1.88%
ขณะที่ STECON ถือหุ้นในบริษัทอื่นอย่างน้อย 1 แห่ง ได้แก่ บริษัท สเตคอน โลจิสติกส์ แอนด์ ทรานสปอร์เทชั่น จำกัด วัตถุประสงค์ ประกอบกิจการด้านโลจิสติกส์ จำนวน 99.98%
ในส่วนของ 2 “บุตรสาว-บุตรชาย” ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พบว่า ไปถือหุ้นอีกหลายแห่ง แบ่งเป็น นัยน์ภัค ชาญวีรกูล ถือหุ้น 9 บริษัท และเศรณี ชาญวีรกูล ถือหุ้น 7 บริษัท โดยทั้ง 2 คนถือหุ้นร่วมกัน 4 แห่ง ได้แก่
1.บริษัท ซี.ที.เวนเจอร์ จำกัด วัตถุประสงค์ ลงทุนในธุรกิจอื่น (นัยน์ภัค ถือ 50% เศรณี ถือ 50%)
2.บริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด วัตถุประสงค์ การลงทุนในหลักทรัพย์ (นัยน์ภัค ถือ 50% เศรณี ถือ 50%)
3.บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก หลักทรัพย์ (นัยน์ภัค ถือ 50% เศรณี ถือ 50%)
4.บริษัท วัน พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) วัตถุประสงค์ กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก (นัยน์ภัค ถือ 25.50% เศรณี ถือ 25.50%)
นัยน์ภัค ชาญวีรกูล ถือเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง ได้แก่
1.บริษัท เจริญคีรี จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมการดำเนินงานของสนามบิน (ยกเว้น การขนถ่ายสินค้า) (ถือ 41.90%)
2.บริษัท สยามกลอรี่ จำกัด วัตถุประสงค์ การซื้อ และการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย (ถือ 91.44%)
3.บริษัท ศรัทธาธรรม คอนสตรัคชั่น จำกัด วัตถุประสงค์ ขายเครื่องจักร และอะไหล่ ถือ 1 หุ้น
4.บริษัท ซิโน ไทย ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด วัตถุประสงค์ ลงทุนในธุรกิจอื่น (ถือ 5.00%)
5.บริษัท เพอร์เพชวล พรอสเพอริตี้ จำกัด วัตถุประสงค์ การเช่า และการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองหรือเช่าจากผู้อื่นที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย (ถือ 99.97%)
ส่วนเศรณี ชาญวีรกูล ถือเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง ได้แก่
1.บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) วัตถุประสงค์ การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น (ถือ 1.10%)
2.บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จำกัด วัตถุประสงค์ สโมสรฟุตบอล (ถือ 0.86%)
3.บริษัท แมทเทอร์ 365 จำกัด วัตถุประสงค์ ร้านขายปลีกเสื้อผ้า (ถือ 45.00%)
ขณะที่ “น้องสาว-น้องชาย” ของ “อนุทิน” ที่เข้าไปถือหุ้นใน STECON คือ อนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ ถือ 4.75% มาศถวิน ชาญวีรกูล ถือ 1.68% พบว่า ทั้ง 2 คนยังถือหุ้นเพิ่มเติมอีกหลายบริษัทเช่นกัน แบ่งเป็น อนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ 10 บริษัท (เลิกกิจการ 1 แห่ง เสร็จชำระบัญชี 1 แห่ง)
1.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วัตถุประสงค์ การก่อสร้าง ถือ 1.67%
2.บริษัท กอล์ฟเขาใหญ่ จำกัด วัตถุประสงค์ การดำเนินงานเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการแข่งขันกีฬา ถือ 21.67% โดยบริษัทแห่งนี้ กำลังถูกคณะทำงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าไปตรวจสอบโฉนดที่ถูกสร้างเป็นรีสอร์ตบริเวณเขาใหญ่
3.บริษัท เจริญคีรี จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมการดำเนินงานของสนามบิน (ยกเว้น การขนถ่ายสินค้า) ถือ 21.28%
4.บริษัท เจ้าพระยา เอสเตต เรสซิเด้นซ์ จำกัด วัตถุประสงค์ ให้บริการบริหารจัดการที่พักอาศัยประเภทโรงแรม อาคารชุด คอนโดมิเนียม และประเภทอื่นๆ ถือ 0.16%
5.บริษัท เอสที พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมที่เกี่ยวกับคลังสินค้า และการจัดเก็บสินค้าอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น ถือ 1 หุ้น
6.บริษัท ซิโนพาวเวอร์ จำกัด วัตถุประสงค์ ประกอบธุรกิจเกี่ยวติดตั้ง ผลิต และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า และพลังงานทดแทน ถือ 1 หุ้น
7.บริษัท เอสที ฮับ จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง ถือ 1 หุ้น
8.บริษัท เอสที ฮิลล์ จำกัด วัตถุประสงค์ กิจกรรมบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง ถือ 1 หุ้น
9.บริษัท เพอร์เพชวล พรอสเพอริตี้ จำกัด วัตถุประสงค์ การเช่า และการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองหรือเช่าจากผู้อื่นที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย ถือ 1 หุ้น
10.บริษัท ซิโน ไทย ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด วัตถุประสงค์ ลงทุนในธุรกิจอื่น ถือ 5%
ส่วน มาศถวิน ชาญวีรกูล ถือ 5 แห่ง ได้แก่
1.บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วัตถุประสงค์ การก่อสร้าง ถือ 1.67%
2.บริษัท ฟิลอัพ เนตเวิร์ค จำกัด วัตถุประสงค์ การขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านค้าเฉพาะ สถานี ปั๊ม ถือ 1 หุ้น
3.บริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด วัตถุประสงค์ การผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ถือ 1 หุ้น
4.บริษัท เพอร์เพชวล พรอสเพอริตี้ จำกัด วัตถุประสงค์ การเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองหรือเช่าจากผู้อื่นที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย ถือ 1 หุ้น
5.บริษัท ซิโน ไทย ดีเวล็อปเม้นท์ จำกัด วัตถุประสงค์ ลงทุนในธุรกิจอื่น ถือ 5%
ก่อนหน้านี้ "มาศถวิล" เคยถือหุ้นในธุรกิจกัญชงกัญชา แต่เลิกกิจการ เสร็จชำระบัญชีไปแล้ว
ส่วน “นิติบุคคล” อื่นๆ ที่เข้าไปถือหุ้นใน STECON นอกเหนือจาก “ซี.ที.เวนเจอร์” ที่เป็นธุรกิจ “โฮลดิ้ง” ของบุตรสาว-บุตรชาย “อนุทิน” เช่น บริษัท พี.พี.โกลบอล เวลท์ จำกัด ถือ 5.08% พบว่ามี ปราณี พิริยะมาสกุล ถือหุ้นใหญ่สุด 99.98% โดยเธอปรากฏความสัมพันธ์กับ “อนุทิน” ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน กรณีกู้ยืมเงินกว่า 8.5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังปรากฏชื่อเป็นกรรมการบริษัทอื่นอีกอย่างน้อย 7 แห่ง โดยบางส่วนเป็นธุรกิจในเครือ “ชาญวีรกูล” ได้แก่ บริษัท บียอนด์ แอสเส็ท 56 จำกัด บริษัท พี.พี. โกลบอล เวลท์ จำกัด บริษัท พีแอลเอ็ม เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด บริษัท สยามกลอรี่ จำกัด บริษัท สยามพรีมิส จำกัด บริษัท เจริญคีรี จำกัด และบริษัท เนชั่นแนล ยูเนี่ยน จำกัด
บริษัท โกลเด้น เอร่า แคปิตอล จำกัด ถือ 4.22% พบว่ามี พัชรา จิรรัตน์สถิต ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9933% โดยเธอคือภรรยาของ “จารุณัฐ จิรรัตน์สถิต” กรรมการบริหาร STECON Group และเคยถูกโปรโมตว่าเป็นผู้ “รับไม้ต่อ” บริหารกิจการ STECON Group คนต่อไป นอกจากนี้ พัชรา จิรรัตน์สถิต ยังถือหุ้นโดยตรง STECON จำนวน 1.1686%
บริษัท แอสเซท เลกาซี่ จำกัด ถือ 1.9430% พบว่ามี ณิศนาถ อนันตชัย ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9980% โดยก่อนหน้านี้เธอเคยถือหุ้นโดยตรง STEC แต่ปัจจุบันมิได้เป็น 10 ผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว
ส่วนบริษัท อิควิตี้ พลัส จำกัด ถือ 3.20% และ บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด ถือ 0.57% พบว่า 2 บริษัทดังกล่าวเป็นธุรกิจของ “เศรณี-นัยน์ภัค” บุตรชาย-บุตรสาวของ “อนุทิน” ถือหุ้นใหญ่คนละ 50%
ทั้งหมดคือ เครือข่าย“พอร์ตหุ้น” ในอาณาจักร STECON ยักษ์ใหญ่รับเหมาก่อสร้าง “ร่างใหม่” ของ STEC โดยยังไม่นับบรรดา กองทุนต่างประเทศที่เข้ามาถือหุ้นในบริษัทแห่งนี้ พบว่า STECON ยังคงมีตระกูล “ชาญวีรกูล” ถือหุ้นใหญ่สุดผ่านเครือข่าย “บุตรชาย-บุตรสาว” ของ “อนุทิน” ถือหุ้นทั้งทางตรง และทางอ้อม (ผ่านบริษัทต่างๆ) รวมกันอย่างน้อย 23.1% (ซี.ที.เวนเจอร์ 19.33% อิควิตี้ พลัส 3.20% เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ 0.57%) ส่วนน้อง 2 คนถือรวมกัน 6.43% (อนิลรัตน์ ถือ 4.75% มาศถวิน ถือ 1.68%)
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







