ส่องเกม ‘พรรคเพื่อไทย’ เอาคืน เขี่ย ‘อนุทิน’ ปมผิดจริยธรรม

"เพื่อไทย" ติดเบรกยื่นเอาผิด "อนุทิน" กรณี MOA เพราะประเด็นต้องไตร่ตรองให้รอบคอบล่าสุดมีความกดดันจาก "บางกลุ่ม" ให้ขยับ ทว่าการยื่นเอาผิด ไม่ง่าย ด้วยปัจจัยการเมือง
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยมีความพยายามยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบจริยธรรมของ "นายกฯ-อนุทิน" กรณี MOA แม้จะเคยถอนคำร้องไปก่อนหน้านี้เพื่อทบทวนข้อกฎหมาย
- ล่าสุดมีแรงกดดันจาก "กลุ่มทนายอั๋น" เร่งให้ "เพื่อไทย" เริ่มกระบวนการ โดยชี้ตรงถึงประเด็นขาดความซื่อสัตย์สุจริตในหลายกรณี เช่น ที่ดินเขากระโดง - ฮั้ว สว. - ที่ดินปากช่อง - ตั้งรัฐมนตรีที่มีประวัติขัดมาตรฐานจริยธรรม
- ทว่าในการเดินเกมสางแค้นเรื่องนี้ นอกจากมุมทางกฎหมายต้องพิจารณา หากจะเอาผิดให้อยู่หมัด ยังต้องคำนึงถึงมิติทางการเมืองหลังเลือกตั้งด้วย
ความพยายามของ “พรรคเพื่อไทย” ต่อการเอาคืน “พรรคภูมิใจไทย” ในแง่การใช้กลไกของการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบจริยธรรม “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้หายไปไหน
แม้ขณะนี้จะชะลอ ยื่นเรื่องตรวจสอบ-เอาผิด “อนุทิน" และ "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีการทำข้อตกลงทางการเมือง (เอ็มโอเอ) ระหว่าง พรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย เพราะมองได้ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฐานยอมตนให้ถูกแทรกแซงครอบงำ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ออกไป จากที่ก่อนหน้านี้ 5 ก.ย.68 ได้ยื่นคำร้องต่อ “ประธานสภา- วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ไปแล้ว แต่กลับถอนเรื่อง-ขอคืนคำร้อง ในไม่กี่วันถัดมา
เรื่องนี้ “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธาน สส. พรรคเพื่อไทย เคยระบุว่า เพื่อนำกลับมาให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยพิจารณาให้ถ้วนถี่ และต้องเสนอที่ประชุม สส. ของพรรคพิจารณา-ขอมติ
ทว่า เวลาล่วงเลยเกือบ 1 เดือนแล้ว เรื่องนี้ฝ่ายกฎหมาย ยังไม่ส่งมาให้ที่ประชุมพรรคพิจารณา
สำหรับขั้นตอนขณะนี้ “ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย” บอกว่ายังอยู่ในชั้นของฝ่ายกฎหมาย ที่ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” เป็นหัวหน้าคณะ ต้องพิจารณา พร้อมบอกขั้นตอนว่า เมื่อฝ่ายกฎหมายพิจารณาแล้ว เห็นเป็นอย่างไรต้องเข้าที่ประชุมพรรค เพื่อขอมติ หากมติเห็นด้วยทำต่อ จะไปสู่การเข้าชื่อ เพื่อยื่น “ประธานสภาฯ” ส่งศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนเหตุที่ต้องทิ้งเวลาเกือบเดือนนั้น เพราะมีเหตุเฉพาะหน้า คือ การรอจังหวะทางการเมือง ทั้งการรอดูโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เตรียมตัวอภิปรายเวทีแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และวาระการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ในประเด็นที่ “เพื่อไทย” ถอนเรื่อง และชะลอปฏิบัติการ ว่ากันว่ามีประเด็นทางข้อกฎหมายที่ยังไม่รัดกุมเพียงพอ และเป็นไปได้ว่าอาจต้องแก้ไขเติมความเพื่อ “เอาผิดทางจริยธรรม” กับ “อนุทิน” ให้ชัดเจนในแง่ของการบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ส่วนของ “ณัฐพงษ์” ในชั้นนี้ มีความเห็นต่าง บางส่วนมองว่า ควรตัดออก เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่มีมา อีกทั้งการโหวตให้ใครเป็น “นายกฯ” เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. ตามรัฐธรรมนูญ และข้อตกลงทางการเมืองที่ปรากฏนั้น ยังไม่ชัดว่าเป็นการครอบงำในทางบริหารราชการแผ่นดิน ขณะที่อีกฝั่งในเพื่อไทยมองว่าให้คงไว้ เพื่อเป็นประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อวางบรรทัดฐานทางการเมือง
กับคำร้องในประเด็นเอ็มโอเอ ที่ยังไร้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ล่าสุดมีความพยายามเดินเกมไล่บี้เอาผิด “อนุทิน” ในประเด็น “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" โดย “ภัทรพงศ์ ศุภักษร” หรือ ทนายอั๋น มือปราบบุรีรัมย์ ยื่นเรื่องต่อ พรรคเพื่อไทย ผ่าน “นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์” ขอให้เร่งรัดเข้าชื่อ สส. และเสนอเรื่องต่อ “วันนอร์” ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดโดยเร็ว
ประเด็นที่ “ทนายอั๋น” เขียนไว้ในหนังสือที่ส่งถึงพรรคเพื่อไทย มีสาระสำคัญชี้ถึงพฤติกรรมตั้งแต่ก่อน จนถึงหลังรับตำแหน่งนายกฯ ที่มีความน่าสงสัยว่า อาจมีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ-ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
ทั้งกรณีมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่พิพาท “เขากระโดง” ถูกกล่าวหาในกระบวนการฮั้วเลือก สว. - กรณีใช้ถนนหลวงในพื้นที่ อบต.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นรันเวย์เครื่องบิน
รวมทั้งกรณีตั้ง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ โดยให้เหตุผลว่า เป็นบุคคลที่สังคมรู้ว่าน่าจะมีคุณสมบัติต้องห้าม-ขัดมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งในรัฐบาล-แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังไม่กล้าตั้ง
ตามกระบวนการของเรื่องนี้ “หมอเชิดชัย” บอกว่า ต้องเสนอให้ที่ประชุมพรรค ในวันที่ 7 ต.ค.68 นี้ และดูว่ามีเหตุผลหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไร
และแน่นอนว่า อาจต้องนำไปประกอบการพิจารณาของ “ฝ่ายกฎหมายเพื่อไทย” ที่มีเรื่องเอ็มโอเอคาอยู่ในมือ
ทว่านัยของเรื่องนี้ อาจไม่ใช่การพิจารณาในแง่ของหลักตามรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้ตรวจสอบได้เท่านั้น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ต้องมองให้ไกลกว่านั้น โดยเฉพาะ “ทิศทางและอนาคตทางการเมือง” หลังเลือกตั้ง
ตามสัญญาการเมือง “อนุทิน” ประกาศหลายครั้ง และล่าสุดในเวทีรัฐสภา เมื่อ 30 ก.ย.68 ว่าจะ ยุบสภา ภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่ 1 ต.ค.68 ไม่เกิน 31 ม.ค.69 เท่ากับว่า “พรรคเพื่อไทย” มีเวลาทำเรื่องถอดถอน “อนุทิน” ออกจากตำแหน่ง ไม่เกิน 123 วันเท่านั้น
ทั้งนี้เมื่อเทียบเคียงกับคดีถอดถอน “นายกฯ” ที่เคยเกิดขึ้นในทำนองเดียวกันก่อนหน้านี้ ในกรณีของ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ตั้ง “พิชิต ชื่นบาน" ที่มีชนักคดีถุงขนม เป็นรัฐมนตรี ศาลใช้เวลาพิจารณาตั้งแต่การรับเรื่อง 23 พ.ค.67 จนถึงวันตัดสิน 14 ส.ค.67 รวมเวลา 84 วัน
เห็นได้ว่า ระยะเวลามีความกระชั้นชิด ที่อาจทำให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยไม่แล้วเสร็จ ด้วยเงื่อนไขของการยุบสภา ก่อนถึงวันที่ได้ตกลงไว้เอ็มโอเอ หากมีความเหมาะสม และจำเป็น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ข้อปฏิบัติจำหน่ายคดี ตามดุลยพินิจ เพราะผู้ถูกร้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปแล้ว
นอกจากนั้นแล้ว ก่อนที่จะไปถึงเรื่องที่จะตัดสิน หรือไม่ มีข้อพิจารณาก่อนหน้าคือ “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะจากข้อหาที่ “เพื่อไทย” เขียนในกรณีเอ็มโอเอ หรือกรณีที่ “ทนายอั๋น” ยก 4 ประเด็นมาอ้างเหตุนั้น ยังมีสิ่งที่ต้องพิสูจน์ในเชิงประจักษ์ว่า “ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม จริงหรือไม่”
ในภาวะที่สิ่งแวดล้อมการเมือง เป็นใจให้กับ “ขั้วน้ำเงิน” ที่ถูกยกให้เป็นผู้ถูกเลือกให้เป็นเบอร์หนึ่งของผู้พิทักษ์ฝ่ายอนุรักษนิยม
ดังนั้น หาก “เพื่อไทย” ใช้ความแค้นเดินดุ่ย ไม่พิจารณาทิศทาง อาจเสียประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าได้ เพราะเชื่อว่าต่อให้ “อนุทิน” ยอมอโหสิกรรมให้ แต่ “คนที่อยู่ข้างๆ” อาจไม่คิดแบบนั้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







