อัยการเผย 2 สัปดาห์รู้ผล คดีคลิปเสียง 'อิ๊งค์-ฮุนเซน' ก่อนชง อสส.

รองอธิบดีอัยการฯฝ่ายสอบสวน ขีดเส้นสรุปสำนวน 'คดีคลิปเสียง' ระหว่าง 'แพทองธาร-ฮุนเซน' ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ชี้คนละส่วนกับศาล รธน.วินิจฉัย ก่อนชง อสส.สั่งคดี
KEY
POINTS
- อัยการคาดว่าการสอบสวนคดีคลิปเสียงสนทนาจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ก่อนเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุด
- ประเด็นการสอบสวนมุ่งเน้นว่าการที่สมเด็จฮุน เซน เผยแพร่คลิปเสียงเข้าข่ายความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่
- เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุด (อสส.) จะเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการพิจารณาสั่งฟ้องคดี
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่า คดีนี้ อัยการสูงสุด (อสส.) มอบหมายให้ผู้บังคับการตำรวจไซเบอร์หนึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยให้มีอัยการจากสำนักงานการสอบสวนเข้าร่วมการสอบสวนและมีการมอบหมายให้ตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ การสอบสวนคดีนี้ได้สอบสวนพยานไปหลายปากทั้งผู้กล่าวหา และตัว น.ส.แพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงพยานที่ยืนยันการใช้ Facebook ของฮุนเซน
นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ส่วนการสนทนาจริงหรือไม่นั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่ามีการสนทนาตามคลิปเสียงจริงทั้งจากการสอบปากคำอดีตนายกรัฐมนตรีประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวไว้แล้วในคดีจริยธรรมของอดีตนายกรัฐมนตรีว่ามีการสนทนากันด้วยข้อความตามที่ทราบกันจริง และคดีดังกล่าวเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งฐานผิดจริยธรรมตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ
นายวัชรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนในคดีนี้เป็นคนละส่วนกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไปแล้วเนื่องจากคดีนี้เป็นการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานว่าการที่นายฮุนเซน เปิดเผยคลิปเสียงเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนคนไทยถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักรซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา116และความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งการสอบสวนดังกล่าวอันถือว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรในคดีนี้จะสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกิน2 สัปดาห์ เพื่อนำกราบเรียนอัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้สั่งคดีว่าจะฟ้องหรือไม่อย่างไร เพราะคดีนอกราชฯถือว่าเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว
ส่วนที่ถามคดีที่ฝ่ายเขมรมีการยิงปืนใหญ่เข้ามาในประเทศไทยจนเป็นเหตุให้มีประชาชนคนตายบาดเจ็บทรัพย์สินเสียหายนั้น
นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุมของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งทางฝ่ายความมั่นคงกับทางฝ่ายกฎหมายอีกทั้งหลายหน่วยงานมีความเห็นว่าน่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้นำกัมพูชา เเละนายฮุนเซนในความผิดเกี่ยวกับการฆ่าการก่อการร้ายหรือการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ ประชาชนและการทำให้เสียทรัพย์ เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นทั้งผู้เสียหายที่เป็นประชาชนและหน่วยงานของรัฐ และมีการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุหลายท้องที่แล้ว ได้มีการหารือกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 ในฐานะผู้รับผิดชอบใน จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ จ.อุบลราชธานี และ จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้มีการรวบรวมสำนวนการสอบสวนเสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาความผิดดังกล่าวว่าจะถือว่าเป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักร ส่งผลให้การกระทำเกิดในราชอาณาจักรหรือในประเทศไทยหรือไม่
สำหรับขั้นตอนต่อไป นายวัชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบปากคำทุกฝ่ายมาสำนักงาน การสอบสวนสำนักงานอัยการสูงสุด จะรวบรวมความเห็นเสนอกราบเรียนในการสูงสุด เพื่อพิจารณาในความผิดนอกราชอาณาจักร เพราะถ้าอัยการสูงสุดเห็นว่า เข้าหลักเกณฑ์ในความผิดนอกราชอาณาจักร ในคดีสำคัญแบบนี้จะมอบให้พนักงานสอบสวนทางฝ่ายตำรวจ เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และจะมอบให้อัยการสำนักงานการสอบสวน เข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจ ทางอัยการสำนักงานการสอบสวน จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนร่วมกับทางฝ่ายตำรวจ เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว จะส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งคดีต่อไป
เมื่อถามว่าหากมีคำสั่งฟ้องจะได้ตัวมาได้อย่างไร นายวัชรินทร์ กล่าวว่า จริงอยู่บางคนอาจจะได้รับเอกสิทธิ์ต่าง ๆ แต่ในขณะนี้ต้องอยู่ที่การรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ส่วนการติดตามดำเนินตัวการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอน ที่มีคำสั่งฟ้องคดีแล้วอาจจะไม่มีเอกสิทธิ์ในขณะนั้น หรืออาจจะดำเนินการโดยวิธีช่องทางความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา อันนั้นยังคงเป็นเรื่องในทางอนาคต แต่ในขณะนี้ทางหน่วยงานรัฐ และประชาชนได้รับความเสียหาย ทั้งร่างกายชีวิตทรัพย์สิน จะต้องมีการสอบสวนในคดีดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน และหน่วยงานของรัฐเป็นผู้เสียหาย เพราะขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐาน จะต้องร่วมมือกันสอบสวนต่อไป ระหว่างฝ่ายตำรวจและฝ่ายอัยการ







