'นายกฯ' เล่าฉากการเมือง วันถูกปลด พ้น มท. 1 ปัดสมคบ 'ฮุนเซน'

"จิราพร" ตั้งข้อสังเกตสัมพันธ์ "หนู-ฮุนเซน" ต่อการเมืองไทย ด้าน "อนุทิน" โต้ทันควัน ทุกประเด็น พร้อมเล่าฉากวันถูกปลดพ้นตำแหน่ง ยืนยันยุบสภา ก่อน 31ม.ค.
ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุมวาระพิจารณาให้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง
โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายตอนหนึ่งซึ่งตั้งข้อสังเกตจากการเปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยไปเป็นของพรรคภูมิใจไทยสอดคล้องกับการระบุของสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่รัฐบาลไทยจะเปลี่ยนนายกฯ ภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ดีตนมองว่าในข้อตกลงทางการเมืองที่ลงนามกับพรรคประชาชนมีประเด็นที่น่ากังวล คือ ต่อประเด็นการทำประชามติเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เป็นข้อตกลงทางการเมืองที่สำคัญ แต่พบวาระบุไว้ในนโยบายรัฐบาลเพียง 3บรรทัดเท่านั้น ดังนั้นทำให้ไม่มั่นใจ ดังนั้นตนขอเชิญชวน ให้นายกฯ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านและสว. ร่วมลงสัตยาบรรณว่าจะร่วมแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยตามข้อตกลงทางการเมือง
“ข้อตกลงทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ไม่ใกล้สู่การฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่คือการฟื้นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่มีอำนาจพิเศษเต็มรูปแบบ ซึ่งใน 4 เดือนนี้พรรคเพื่อไทยจะตรวจสอบเข้มข้น ถ่วงดุล และตรวจสอบองค์ประชุมในสภา ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลมีแผนอยู่ยาว ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทำให้ประชาชนเห็นว่าสมควรเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปอีก 4 ปีหรือไม่” น.ส.จิราพร อภิปราย
ต่อจากนั้นนายอนุทิน ลุกชี้แจงทันทีว่า ตนชื่นชมน.ส.จิราพร ต่อการอภิปราย ทั้งนี้เมื่อน.ส.จิราพรพูดจริงจะน่าเชื่อถือ แต่หากพูดเท็จจะขาดความมั่นใจ ทั้งนี้กรณีที่ตั้งข้อสังเกตความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนกับผู้นำประเทศกัมพูชานั้น ตนยืนยันว่าไม่เคยมีสัมพันธ์อะไรส่วนตัว ทั้งนี้ตนได้พบกับผู้นำกัมพูชาครั้งแรก อย่างเป็นทางการ เมื่อติดตามน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
“ที่บอกว่ามีการตกลงอะไรเบื้องหลังมาก่อน ผมยืนยันไม่มี เต็มที่ที่ผมมีคือเพื่อนที่รู้จักกันไม่มีผู้มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง มีแต่เพื่อน ไม่พูดถึงแม้แต่การบริหารราชการแผ่นดิน หรือเสนอแนะอะไรที่ใช้สัมพันธ์ส่วนตัว ผมรู้สึกตกใจว่า เมื่อผมกลับมาแล้วจากการติดตาม น.ส.แพทองธารเยือนกัมพูชา เพื่อนๆ ของผมที่รู้จักกันโทรศัพท์บอกว่า รู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลายที่ เพราะเขาไปแจ้งผู้นำของเขาว่าไม่ต้องคุยอะไรกับเขามากหรอก เพราะจะปลดจาก มท.1 อยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้อะไร เพราะข้อมูลที่ผมจะเชื่อต้องได้รับแจ้งจากนายกฯของผมในเวลานั้น แต่ในที่สุด ผมได้รับการแจ้ง เมื่อ 17 มิ.ย.” นายอนุทิน ชี้แจง
นายอนุทิน ชี้แจงต่อว่า ตนได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ตนไปเป็นรมว.สาธารณสุข ตนแจ้งกลับไปว่าเปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธ ให้บอกตรงๆ เลยว่าจะให้ออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ อดีตนายกฯรักษามารยาทมาก บอกว่าอยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ซึ่งตนถามว่า ทำไมถึงให้ไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ตนทำอะไรผิด ทั้งนี้ตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในครม. ของ น.ส.แพทองธาร ที่ยืนคียงข้างในทุกๆ ขณะไม่ว่าวันดีหรือวันร้าย ปกป้องให้ข้อเท็จจริง
“อดีตนายกฯทราบดีแต่ท่านบอกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้วเพื่อไทยต้องได้มหาดไทย ผมจึงบอกว่า อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าการได้กำกับมหาดไทยจะชนะเลือกตั้ง ทั้งนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของผมอยู่มหาดไทย ยังแพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบ แต่ไม่มีคำตอบ แต่พูดว่าเขาจะเอามหาดไทยคืนอะ แต่ผมเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้พูดจากความต้องการในใจของตัวเอง ต้องมีคนบอกให้พูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกฯของท่าน ยืนยันว่าไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข” นายอนุทิน ชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น น.ส.จิราพร ลุกประท้วง นายกฯ พร้อมบอกว่า นายกฯ เล่าซีนดราม่ากับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุม ที่ไม่มีโอกาสชี้แจง ว่าข้อมูลแท้จริงหรือไม่ ทำให้นายอนุทิน พูดสวนขึ้นว่า “อย่ามาบอกว่าเป็นดราม่า เพราะเป็นข้อเท็จจริง ผมอยู่ตรงนั้นเอามายืนยันตรงนี้เลยก็ได้ ท่านไม่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้เกี่ยว หรือมีส่วนร่วมตรงนั้นจะบอกว่าดราม่าได้อย่าง” ก่อนที่นายมงคลจะวินิจฉัยให้นายกฯ อภิปรายต่อ
นายกฯ อภิปรายต่อว่า สุดท้ายผมได้รับการยืนยันจาก เลขาธิการนายกฯ ของน.ส.แพทองธาร ที่มาหาตนถึงกระทรวงมหาดไทย และเป็นวันเดียวกันที่ตนฝากไปบอกอดีตนายกฯ พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว จากวันนั้นเป็นต้นมา บังเอิญที่มีเรื่องคลิปเสียงอังเคิล ทำให้มีความมั่นใจต่อการตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เฉพาะเชิญออกจากรัฐบาล แต่มีเรื่องที่เสียหายต่อบ้านเมือง รัฐบาลขาดความชอบธรรมต่อการบริหารประเทศ
“เมื่อถอนตัวแล้วมีเหตุอะไรพิสดาร ผมได้รายงานตัวมาทำงานกับพรรคฝ่ายค้าน และได้หารือว่าดีที่สุดพยายามให้ยุบสภาดีกว่า แต่เมื่อน.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จึงต้องหาทางออก คืนอำนาจให้ประชาชน จึงเป็นที่มาของการตกลงกันทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ซึ่งข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าว ไม่ใช่ข้อตกลงของรัฐบาล แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลจะรักษาสัญญา ไม่เกิน31 ม.ค.69 จะยุบสภา วันที่ 14-15 ต.ค. พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ผมไม่สามารถชี้นำ หรือโน้มน้าว สว.ให้ร่วมแก้รัฐธรรมนูญได้ เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตยใครเห็นด้วยก็แก้ ไม่เห็นด้วยไม่ต้องแก้” นายอนุทิน ชี้แจง
นายกฯชี้แจงต่อว่ากรณีที่ของการเพิ่มเสียง สส.ฝั่งรัฐบาล ตนยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทยมีสส.เพิ่มขึ้น มาจากการชนะเลือกตั้งซ่อม จ.ศรีสะเกษ ไม่ใช่จากการดูด ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่เคยดึงหรือดูด สส. เหมือนพรรคท่านที่ทำ แต่โชคดีที่คนของพรรคภูมิใจไทยรู้ตัวและบอกว่าไม่ไปดีกว่า ดังนั้นกรณีที่น.ส.จิราพร บอกว่า 4 เดือนจะชี้ชะตา ตนรับรองช้าสุด 31 ม.ค.69 ยุบสภาแน่ หรืออาจเร็วกว่าด้วยซ้ำหากมีความจำเป็น และไม่ต้องรอชี้ชะตา 4 เดือน วานนี้ (29 ก.ย.) ชี้ชะตาแล้วทั้งจากพรรคภูมิใจไทยและพรรคท่านด้วย
นายกฯ ชี้แจงต่อว่า ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าจะใช้อำนาจล้มคดีที่ดินเขากระโดงนั้น ตนขอชี้แจงว่า 2 อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยในพรรคเพื่อไทยใจร้อน บอกว่าจะจัดการโดยเร็วโดยไม่อ่านหนังสือราชการทุกถ้อยคำ นึกว่าตัวเองเก๋าจึงสรุปทุกเรื่องหมด ทั้งนี้กรรมการ รวมถึงปลัดมหาดไทย และอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ที่ตั้งขึ้นแทนคนเก่าบอกว่า รัฐมนตรีพูดไม่ตรงกับมติกรรมการ
“จะโทษอะไรผม คนที่ใช้อำนาจหน้าที่กดดัน คือ อดีตรมว.มหาดไทย และอดีต รมช.มหาดไทย ผมรับตำแหน่งนายกฯเกือบเดือน วันนี้ตนยังไม่ได้สั่งการใดๆ และไม่ต้องสั่งการ เพราะผมอยู่มา 2 ปี รู้ต้องทำตามกฎหมาย ผมอ่านข่าวผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เร่งฟ้องเป็นรายแปลง เป็นสิ่งที่ผมต้องการ เพราะเหมารวมจะใช้เวลานาน แปลงไหนถูกต้องคืนความเป็นธรรมแปลงไหนผิดให้ยึด ขอให้จำไว้ด้วยว่า ผมไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ รมว.มหาดไทย หรือ ตำแหน่งนายกฯ ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ไปให้ช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ พวกผมยิ่งไม่ช่วย” นายกฯชี้แจง
นายอนุทิน ยังเรียกร้องให้ น.ส.จิราพร ถอนคำพูด หลังระบุว่าเป็นผู้ต้องหาคดีฮั้วสว. ว่า ตนไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาของดีเอสไอ ขอเรียกอธิบดีดีเอสไอ มาตรงนี้ และให้ถามเองว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ กล้าหรือไม่หากผมไม่ใช่ผู้ต้องหา ต้องแถลงให้ด้วย ทั้งนี้ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น และขณะนี้ได้ตั้งทนายความศึกษาและต่อสู้คดี การรพูดแบบนั้น ที่บอกว่าตนและสว.เป็นผู้ต้องหา เป็นคำพูดที่ผิด เท่าที่ติดตามไม่มีสว.เป็นผู้ต้องหาแม้แต่รายเดียว
จากนั้นน.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ขอให้ประธานวินิจฉัยว่า ต่อกรณีให้ถอนคำพูดที่ใส่ร้าย ทำให้นายมงคล วินิจฉัยว่าขอให้น.ส.จิราพร ถอนคำพูด เพราะจริงๆตนในนามวุฒิสภาก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา
ทำให้น.ส.จิราพร ยอมถอน และเปลี่ยนเป็นคำว่าผู้ที่พัวพันในคดีและส่อที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่







