'วรภัค' แจงไม่เกี่ยว ปมถูกกล่าวหา ร่วมทุจริตปล่อยกู้ บ.เอิร์ธ

"รมช.คลัง" แจงไม่เกี่ยวปมถูกกล่าวหา ร่วมทุจริต ธ.กรุงไทย ปล่อยกู้ บ.เอิร์ธ เกินวงเงิน บอกบทบาทเป็นแค่คนกลั่นกรองสินเชื่อ ไม่ได้อนุมัติ
ที่รัฐสภา นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาต่อกรณีที่นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย พรรคเพื่อไทย อภิปรายพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตแบบมหกาพย์ทุนไทย รูปแบบคล้ายกับบริษัทสตาร์ก ในกรณีบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) ที่พบการกระทำทุจริตและสร้างความเสียหาย ซึ่งพบว่านายวรภัค ฐานะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ว่าเอื้อให้กับบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อสูงเกินกว่าวงเงินกำหนดไม่ถูกต้องตามระเบียบและผิดวัตถุประสงค์ของการออกสินเชื่อ เมื่อ 21 ก.พ. 2568 ว่า เมื่อครั้งที่ตนเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของนายพิชัย ชุณหวชิระ อดีตรองนายกฯและรมว.คลัง ในพรรคเพื่อไทยได้ยกมาพิจารณาและตรวจสอบ ซึ่งไม่พบการติดใจใดๆ ทั้งนี้ตนขอชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า ตนเข้ารับหน้าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย เมื่อ พ.ย. 2555 ซึ่งบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ เป็นลูกค้าของธนาคารมาหลายปี ในธุรกิจสาขาศรีราชาตั้งแต่เป็นเอสเอ็มอี ตอนนั้นบริษัทมียอดขายหมื่นล้านบาท และเมื่อตนครบวาระ 4 ปี เมื่อปี 2559 บริษัทมียอดขายเติบโต เป็น 2หมื่นล้านบาทจากวันแรกที่เป็นลูกค้ายอดขายหลักพันบาท
นายวรภัค ชี้แจงต่อว่าบริษัทเติบโตในยอดขายและกำไรต่อเนื่อง บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมถ่านหินยังพบการเติบโตดีมาก ทั้งนี้บริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ ไม่เหมือนบริษัทสตาร์ก ที่ถูก กลต.ร้องเพราะตบแต่งบัญชี ซึ่งบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธไม่เคยถูก กลต.ร้องทุกข์กล่าวโทษ อย่างไรก็ดีบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธมีการซื้อขายจริง มีทรัพย์สินจริง มีการออกหุ้นกู้ได้ ตามกติกาที่ผ่านกลต.ตรวจสอบแล้ว มีทรัพย์สิน มีเหมืองที่ธนาคารกรุงไทยมี
“ความเสียหายที่แท้จริงนั้น ผมครบวาระปลายปี2559 ออกจากกรรมการของธนาคารกรุงไทย บริษัทดังกล่าวเป็นเอ็นพีแอล พ.ค.ปี2560 ทั้งที่ต้นปี 2560 นั้นมีการเติบโต และมีมูลค่าซื้อขายเกือบ3 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยผิดนัดชำระ เป็นลูกค้าชั้นดีมาตลอด แต่เดือนพ.ย.2560 เป็นเอ็นพีแอล ซึ่งจากประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นเอ็นพีแอลต้องกระท่อนกระแท่นมาประมาณ 1-2 ปี โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องได้รับการประคับประตอง ทั้งนี้ตามเอกสารสำนวนใน ป.ป.ช. รายงานจากที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ธนาคารกรุงไทยจ้าง ระบุว่าบริษัทนี้ธุรกิจและอุตสาหกรรมไม่มีปัญหา แต่ปัญหาเกิดจากวิกฤตสภาพคล่องที่เจ้าหนี้รายใหญ่ดึงวงเงิน” นายวรภัค ชี้แจง
รมช.คลังชี้แจงด้วยว่า ตนออกไปแล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีคนมาบอกว่าบริษัทนำเอกสารบีแอลปลอมมาเบิกเงิน แต่พิสูจน์แล้วไม่ได้ปลอม หากสมมติว่าตนยังเป็นกรรมการ และมีบีแอลปลอมมาเบิกเงินจริง ผมอยากจะยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า ต้องค่อยๆ ถอย ไม่ใช่ยุติความสัมพันธ์ทันทีทันใด เพราะจะทำให้เสียหายกับลูกค้าและธนาคาร ทั้งนี้บริษัทเอ็นเนอร์ยี่ ไม่เหมือนบริษัทสตาร์ก ไม่เคยถูกกลต.ร้องทุกข์กล่าวโทษช่วงเป็นลูกค้าของธนาคารกรุงไทย ความเสียหายที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการดึงวงเงินอย่างฉบับพลัน ทำให้ขาดสภาพคล่อง” รมว.คลัง ชี้แจง
ทั้งนี้ นายเลิศศักดิ์ ใช้สิทธิพาดพิง โดยย้ำว่า ที่รมช.คลัง ระบุว่าเหมืองที่ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารกรุงไทยมีจริง แต่ตนขอแย้งว่ามีข้อพิสูจน์แล้วว่าเหมืองไม่มีจริง เพราะบริษัทที่ตรวจสอบงบการเงิน เหมืองที่นำมาค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย ไม่มีจริง ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องให้ไปชี้มูลกับ ป.ป.ช หรือ รอ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด
ทำให้ รมช.คลัง ชี้แจงว่ากรณีเหมืองไม่จริง อยู่ในขั้นตอนพิสูจน์ของ ป.ป.ช. แต่กรณีที่บริษัทยื่นไฟลิ่งเพื่อขอออกหุ้นกู้นั้น ตนเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองสินเชื่อไม่ใช่เป็นผู้อนุมัติ ทั้งนี้การอนุมัติหุ้นกู้เป็นผู้บริหารอีกชุด ไม่ใช่ตน กรณีบริษัทสตาร์กกับกรณีนี้ไม่เหมือนกัน เพราะไม่เคยถูกกลต. ร้องทุกข์กล่าวโทษว่าตบแต่งบัญชี
อย่างไรก็ดี สส.เลย พรรคเพื่อไทย อภิปรายย้ำว่าการแสดงความเห็นของรัฐมนตรีตนรับฟัง กรณีที่กลต.ไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษไม่ใช่ว่าไม่มีประเด็น ทั้งนี้ขอให้รมช.คลังตอบคำชี้แจงให้ได้ เพื่อความสง่างามในการดำรงตำแหน่ง ทำให้นายวรภัค ชี้แจงว่า “เรื่องนี้ข้อเท็จจริงสำนวนที่อยู่กับ ป.ป.ช.มีอยู่พอสมควรและจากการเรียกให้ปากคำของ ป.ป.ช. อีกไม่กี่เดือนจะสรุปและข้อเท็จจริงปรากฎไม่เกินสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า และทุกคนจะเห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ขอให้สส.ติดตามใกล้ชิดเพราะข้อมูลที่ได้มามาจากการบิดเบือนอีกด้านหนึ่ง”







