เลือกตั้ง 2569 ศึกชิงกระแส จุดอ่อน ผู้นำ-ความนิยมพรรค ส้ม-แดง วูบ

เลือกตั้ง 2569 ‘ศึกชิงกระแส’ จุดอ่อน‘ผู้นำ-ความนิยมพรรค’ ค่ายใหญ่“ส้ม-แดง”วูบ จับตาปรับยุทธศาสตร์ ชู“นโยบาย” ดึงแต้ม“กลุ่มไม่ตัดสินใจ”
KEY
POINTS
- ผลสำรวจนิด้าโพลชี้ว่าคะแนนนิยมของพรรคประชาชน (ส้ม) และพรรคเพื่อไทย (แดง) รวมถึงตัวผู้นำพรรคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย มีคะแนนนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
- จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่พรรคต่างๆ ต้องช่วงชิงคะแนนเสียง
การเมืองในช่วงโค้งอันตราย 4 เดือนก่อนยุบสภา 6 เดือนก่อนวันกาบัตรเลือกตั้ง ทุกย่างก้าว ทุกกลเกมของ “คนการเมือง” ระหว่างนี้จึงเต็มไปด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่จะส่งผลต่อกระแสลบ
ความนิยมของพรรคการเมือง ผู้นำพรรค ที่ผ่านผลสำรวจถือเป็นข้อมูลที่แต่ละพรรคให้ความสำคัญอย่างมาก โพลของพรรคการเมือง โพลของสถาบันการศึกษา โพลของเอกชน มักจะถูกนำมาประกอบการตัดสินใจในการวางยุทธศาสตร์พรรค ทั้งการวางตัวบุคคล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และนโยบายพรรค เพื่อช่วงชิงความนิยม อันมีผลต่อคะแนนปาร์ตี้ลิสต์
สำหรับโพลที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งหนึ่งคือ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ล่าสุดออกมาเปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2568” สำรวจระหว่างวันที่ 18 – 24 ก.ย. ภายหลังการโหวตเลือก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.
ซึ่งผลจากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯในวันนี้ และคำถามพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้
“กรุงเทพธุรกิจ” ชำแหละผลสำรวจคะแนนนิยมในตัว “ผู้นำ” และ “พรรคการเมือง” เปรียบเทียบผลการสำรวจครั้งที่ 1 (วันที่ 24 - 27 มี.ค. 2568) ครั้งที่ 2 (วันที่ 19 - 25 มิ.ย. 2568) และครั้งที่ 3 (วันที่ 18 - 24 ก.ย. 2568)
โดยพบว่าจำนวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ยังหาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพิ่มสูงมากขึ้น โดยการสำรวจครั้งที่ 1 ร้อยละ 23.70 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 19.88 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 27.28 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4
ไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่จะสนับสนุน ซึ่งผลสำรวจเพิ่มขึ้นลดลงมีนัยสำคัญ โดยครั้งที่ 1 ร้อยละ 13.75 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 7.72 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 21.64 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.92
ผลต่างของ “คนที่ยังไม่ตัดสินใจ” มีเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภายหลังการโหวตเลือก “อนุทิน” ดำรงตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากผลสำรวจที่ออกมาเป็นแรงส่งสะท้อนกลับไปยัง “พรรคประชาชน” ที่สำคัญจะเป็นแต้มบ่อใหญ่ที่ “พรรคการเมือง” จะต้องแย่งชิงกัน
"ปชน."ยังแชมป์- สวนทางแต้มลดฮวบ
“พรรคประชาชน” ความนิยมในตัวของ “หัวหน้าเท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผลสำรวจครั้งที่ 1 ร้อยละ 25.80 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 31.48 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 22.80 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างลดลงร้อยละ 8.68
สำหรับคะแนนพรรคประชาชน ครั้งที่ 1 ร้อยละ 37.10 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 46.08 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 33.08 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างลดลงร้อยละ 13
ส่วนต่างความนิยมของ “ณัฐพงษ์ - พรรคประชาชน” ลดลงอย่างน่าตกใจ สวนทางกับ “ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ” เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่คนที่เคยเลือก “ณัฐพงษ์ - พรรคประชาชน” จะถอยออกมาเพื่อรอดูท่าทีก่อน
เพราะต้องยอมรับว่าการโหวตให้ “อนุทิน” ดำรงตำแหน่งนายกฯ ส่งผลกระทบต่อ “กระแสสีส้ม” ทันที แม้จะมีคำอธิบายเรื่องการยุบสภาฯภายใน 4 เดือน และการเปิดทางให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ตาม
“อนุทิน” เรตติ้งพุ่ง - ภท.กระเตื้อง
“พรรคภูมิใจไทย” ความนิยมในตัวของ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ครั้งที่ 1 ร้อยละ 2.85 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 9.64 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 20.44 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 10.8
สำหรับคะแนนพรรคภูมิใจไทย ครั้งที่ 1 ร้อยละ 3.35 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 9.76 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 13.24 การสำรวจครั้งที่ 2 และ 3 มีผลต่างเพิ่มมากขึ้น 3.48
ความนิยมในตัวของ “อนุทิน” พุ่งพรวดทันทีภายหลังนั่งเก้าอี้นายกฯ ส่วนหนึ่งคะแนนมาจาก “หัวหน้าพรรคอนุรักษ์” ที่อ่อนแอลง ไหลมารวมกันที่ “นายกฯหนู” ขณะเดียวกันอาจจะมีแรงหนุนจาก “กระแสชาตินิยม” จากปมขัดแย้งแนวชายแดน ไทย - กัมพูชา ซึ่งประชาชนคาดหวังให้ผู้นำเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามคะแนนของ “พรรคภูมิใจไทย” ไม่ได้โตพุ่งพรวดเหมือน “อนุทิน” แต่อยู่ในทิศทางขาขึ้น “แต้มการเมือง” ไม่มีลดมีแต่เพิ่มมากขึ้น
พท.กระแสผู้นำดิ่ง แต้มพรรคลดฮวบ
“พรรคเพื่อไทย” จากเดิมที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่ในโผสำรวจ แต่เมื่อพ้นจากเก้าอี้นายกฯ การสำรวจโผจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อของ “ชัยเกษม นิติสิริ” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว
โดยผลสำรวจครั้ง 1 “แพทองธาร” มีคะแนนนิยมร้อยละ 30.90 สำรวจครั้งที่ 2 “แพทองธาร” ร้อยละ 9.20 “ชัยเกษม” มีคะแนนนิยม ร้อยละ 0.20 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 6.76 การสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 มีผลต่างลดลงมากถึงร้อยละ 24.14
สำหรับคะแนนพรรคเพื่อไทย ครั้งที่ 1 ร้อยละ 28.05 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 11.52 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 13.96 การสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 มีผลต่างลดลงมากถึงร้อยละ 14.09
คะแนนนิยมของ “แพทองธาร” จากการสำรวจครั้งแรก จนกระทั่งผลสำรวจครั้งที่ลดลงอย่างมาก ผลมาจากการแก้ไขปัญหาชายแดน ไทย - กัมพูชา โดย “นิด้าโพล” ได้สำรวจภายหลังคลิปสนทนา “แพทองธาร - ฮุน เซน” ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว
เช่นเดียวกับความนิยมของ “พรรคเพื่อไทย” ลดฮวบลงมาอย่างน่าใจหาย ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ “ค่ายสีแดง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รทสช.พรรคแตก กระแสตก
“พรรครวมไทยสร้างชาติ” ชื่อของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ยังมีคะแนนนิยม โดยผลสำรวจครั้งที่ 1 (ไม่มี) ครั้งที่ 2 ร้อยละ 12.72 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 6.00
“หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ครั้งที่ 1 ร้อยละ 8.45 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 6.48 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 2.72 การสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 มีผลต่างลดลงร้อยละ 5.73
สำหรับคะแนนพรรครวมไทยสร้างชาติ ครั้งที่ 1 ร้อยละ 8.75 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 13.24 และครั้งที่ 3 ร้อยละ 6.12 การสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 มีผลต่างลดลงร้อยละ 2.63
ความนิยมทางการเมืองของ “พรรค รทสช.” ผูกติดกับตัวของ “พล.อ.ประยุทธ์” แม้จะยังมีแต้มอยู่ แต่ศึกเลือกตั้งปี 2569 ไม่มีชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” แน่นอน เมื่อไม่มีศูนย์รวมจิตใจ ส่งผลให้ “ลูกพรรค รทสช.” ต้องแยกทางกันเดิน โดยในส่วนของความนิยมของ “พีระพันธุ์” ลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับแบรนด์พรรค รทสช. ที่กระแสตกฮวบ
ปชป.ฟื้นแรงหนุน “อภิสิทธิ์”นั่งหัวหน้า
“พรรคประชาธิปัตย์” ชื่อของ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่ติดอยู่ในโพล โดยถูกจัดอยู่ในลิสต์ที่มีความนิยมร่วมกับ “ผู้นำพรรคการเมือง” หลายคน
อย่างไรก็ตามการสำรวจครั้งล่าสุด “เฉลิมชัย” ได้รับความนิยมร้อยละ 1.76 ขณะเดียวกันมีชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มีความนิยมร้อยละ 1.04 ภายหลังที่เจ้าตัวมีชื่อลุ้นกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
สำหรับความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 1 ร้อยละ 3.65 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 1.76 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 5.52 การสำรวจครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 มีส่วนต่างเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 3.74
ต้องยอมรับว่าภายหลัง “เฉลิมชัย” ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเปิดทางให้มีการเลือก กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีชื่อของ “อภิสิทธิ์” กลับเข้ามา ส่งผลให้ “แต้มการเมือง” ของพรรคเก่าแก่มีเพิ่มมากขึ้น
“สุดารัตน์”พอมีแต้ม – ทสท.มีแรงหนุน
“พรรคไทยสร้างไทย” ชื่อของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ไม่เคยหลุดโพล โดยผลสำรวจครั้งที่ 1 ร้อยละ 3.90 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 6.12 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 7.16 ผลการสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้ง 3 มีผลต่างเพิ่มขึ้น 3.26
ความนิยมของพรรคไทยสร้างไทย ครั้งที่ 1 ร้อยละ 2.0 ครั้งที่ 2 ร้อยละ 2.88 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 2.92 ผลการสำรวจครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 มีผลต่างเพิ่มขึ้น 0.92
ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า “คุณหญิงสุดารัตน์ - พรรคไทยสร้างไทย” แม้ขุนพลทางการเมืองจะทยอยออกจากพรรค แต่ยังมีความเชื่อมั่นในตัวของผู้นำและพรรคอยู่พอสมควร
"กล้าธรรม"มีขุนพล - แต่ไร้กระแส
ขณะเดียวกันตรวจสอบโพลยังพบว่า มีพรรคการเมืองที่ตัว “ผู้นำพรรค” และ “พรรค” ไม่มีกระแสแต่มี สส. อยู่ในสภาฯ ซึ่งใช้โมเดลเครือข่ายท้องถิ่น ซึ่งอาจจะอยู่ในลักษณะ “บ้านใหญ่” อาทิ พรรคกล้าธรรม พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น
ผลสำรวจทำให้เห็นถึงจุดอ่อน จุดแข็ง ของแต่ละพรรคการเมือง ที่สำคัญยังสะท้อนถึงวิกฤติผู้นำทางการเมือง ที่หัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ หรือว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่มีอยู่ในสารบบการเมืองไทย ยังไม่เป็นความหวังของประชาชน สะท้อนได้จาก
ความเห็นที่ “ยังหาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้” เพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งของการสำรวจ
นับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง ไม่ถึงปี ในสถานการณ์ที่แต่ละพรรคพยายามสร้างกระแส เมื่อตัวบุคคลยังไม่เป็นที่ดึงดูด ดังนั้น “นโยบายประชานิยม” จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่แต่ละพรรค หันมาให้ความสำคัญเพื่อสร้างกระแส ในศึกเลือกตั้งในปี 2569 ที่จะถึงนี้ ดังนั้นจึงน่าจับตาว่า พรรคกระแส พรรคกระแส จะเอาชนะกันได้ด้วยกลเกมใด







