รัฐบาลภท.ยุทธศาสตร์‘3นิยม’ กับความฝัน‘อนุทิน’นายกฯสมัย2

ป้าหมายปลายทางที่แท้จริงของ “พรรคสีน้ำเงิน”ไม่ได้หวังเป็นแค่ “รัฐบาลเฉพาะกิจ”4เดือน แต่หวังสูงไปถึงการเป็นพรรค100+สานฝัน “อนุทิน” เป็นนายกฯสมัยที่2
KEY
POINTS
- พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ใช้ยุทธศาสตร์ “3 นิยม” ไม่ใช่เพื่อเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน แต่เพื่อเป้าหมายใหญ่ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้า และผลักดันนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2
- ยุทธศาสตร์แรกคือ “ชาตินิยม” โดยใช้ประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาสร้างกระแสความนิยมและแสดงความเด็ดขาดในการปกป้องอธิปไตย ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคในภาคอีสาน
- ยุทธศาสตร์ที่สองคือ “ประชานิยม” ผ่านการออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนจำนวนมาก เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส การลดค่าครองชีพ และนโยบายแก้หนี้ เพื่อสร้างคะแนนนิยมและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป
- ยุทธศาสตร์สุดท้ายคือการเมือง “พิมพ์นิยม” ซึ่งเป็นการดึงนักการเมืองบ้านใหญ่จากทั่วประเทศเข้าสังกัดพรรค เพื่อสร้างฐานเสียงที่แข็งแกร่งและชดเชยกระแสพรรคที่ไม่แรงเท่าคู่แข่ง โดยหวังรวบรวมเสียงให้ได้เกิน 100 ที่นั่งเพื่อสานฝันนายกฯ สมัยที่ 2 ของนายอนุทิน
“ภูมิใจไทยสไตล์” กับยุทธศาสตร์ “3นิยม” ตอกย้ำการเมืองฉบับสีน้ำเงิน ที่ไม่ใช่แค่การชิงเกมเพื่อเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ4เดือน แต่เป้าหมายสำคัญ อยู่ที่การเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสมัยหน้า
ไทม์ไลน์หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโนยายรัฐบาลต่อรัฐสภา ในวันที่29-30 ก.ย.นี้ โหมดการเมืองฝ่ายบริหารภายใต้การนำของ “นายกฯหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ก็จะเข้าสู่ช่วงคิกออฟบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบ
ในวันประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดพิเศษ เมื่อวันที่24ก.ย. ที่ผ่านมา “อนุทิน” พูดถึงโรดแมปรัฐบาลหลังเริ่มนับหนึ่งว่า ในด้านนิติบัญญัติ รัฐบาลจะจัดให้ทำประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ในปีหน้า
“ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาผู้แทนราษฎรใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาซึ่งคาดว่าเราจะยุบสภาภายในสิ้นเดือนม.ค. 2569 เพื่อคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน ให้ได้ใช้สิทธิเลือกตั้งภายในเดือนมี.ค. หรืออย่างช้าต้นเดือนเม.ย.2569 ทั้งนี้สุดแล้วแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะได้กำหนดต่อไป”
อย่างที่รู้กันว่า ภายใต้ข้อตกลงระหว่าง “พรรคภูมิใจไทย” และ “พรรคประชาชน ” ในการสนับสนุน“อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการลงนามเมื่อวันที่3ก.ย.ที่ผ่านมา
ในข้อ4 ระบุว่า เพื่อสร้างหลักประกันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือนจริง พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการโดยวิธีการใดๆ เพื่อทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
ก่อนหน้านี้มีการจับตาว่าภายใต้สถานการณ์ที่พรรคภูมิใจไทยกำลังเปิดดีล-ดูด-ดึง บรรดาซุ้มการเมืองต่างๆเพื่อเติมเสียงรัฐบาลในเวลานี้ จะเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลกำลังฉีกข้อตกลงเพื่อ “อยู่ยาว” หรือไม่อย่างไร
ทว่าประเด็นนี้มีการวิเคราะห์ในเชิงลึกถึง โอกาสที่รัฐบาลภูมิใจไทยจะ ฉีกMOA เพื่ออยู่ยาว ถึงที่สุดอาจไม่ใช่เป้าหมายปลายทางที่แท้จริงของ “พรรคสีน้ำเงิน” เนื่องจากลึกๆแล้วภูมิใจไทยไม่ได้หวังเป็นแค่ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” 4เดือน แต่หวังสูงไปถึงการเป็นพรรค100+ เพื่อชิงเกมการเป็น “แกนนำ” จัดตั้งรัฐบาลสานฝัน “อนุทิน” เป็นนายกฯสมัยที่2
ฉะนั้นหากยิ่งทอดเวลายืดเยื้อออกไป ก็จะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามหาช่อง หาจังหวะกลับมาเล่นงานรัฐบาลจากที่เคยได้เปรียบจะกลับกลายเป็นเพลี้ยงพล้ำแทน
ประะเด็นนี้มีความเห็นที่น่าสนใจจาก “สุวิชา เป้าอารีย์” ผอ.นิด้าโพล ที่ชวนจับตาหลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ภูมิใจไทยจะดูว่า เพื่อไทยมีอะไรในมือ ถ้าไม่มั่นใจเขาจะยุบสภาทันที โดยเฉพาะศึกซักฟอกที่พรรคเพื่อไทยพยายามประโคมโหมโรงในเวลานี้ รัฐบาลอนุทินมี2ทางเลือกคือ 1.ชิงยุบสภา เพื่อไม่ให้ถูกขยายแผลในสภาฯ หรือ 2.ลุยไฟถูกซักฟอก โดยใช้เสียงงูเห่าโหวตอุ้มรัฐบาล
สอดคล้องกับความเห็นจาก “หมอชลน่าน ศรีแก้ว” อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เชื่อว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะไม่พลิ้วข้อตกลง4เดือน เนื่องจากเบี้ยวแล้วเขาไม่ได้คะแนน เพราะสิ่งที่เขาตัดสินใจ เขาไม่ได้หวังอยู่แค่4เดือน เขาหวังอีกสมัยหนึ่งข้างหน้า
เช่นนี้ต้องจับตา ทุกจังหวะก้าวย่างของพรรคภูมิใจไทยที่กำลังเกิดขึ้นในเวลา กำลังสะท้อนให้เห็นถึงการเดินยุทธศาสตร์ “3นิยม”
ทั้ง ชาตินิยม โดยใช้ประเด็น “ปกป้องอธิปไตย” และการแก้ปัญหาชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างกระแสความนิยม
อย่าลืมว่า พื้นที่แนวชายแดน โดยเฉพาะในโซนภาคอีสานอย่าง จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.ศรีสะเกษ และจ.อุบลราชธานี เกือบทั้งหมดล้วนเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคภูมิใจไทย
เห็นชัดจากที่ “อนุทิน” พยายามโชว์ภาพความเป็นเนื้อเดียวกันกับกองทัพ ด้วยการ “มอบอำนาจเต็ม” ให้กับกองทัพ
ข้อสั่งการเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ระบุชัดว่า พื้นที่ดังกล่าวประกาศกฎอัยการศึกแล้ว อำนาจตัดสินใจเป็นของฝ่ายทหารโดยตรง รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนการทูตและกำกับภาพรวมการเจรจา
จากนั้นวันที่19ก.ย. ที่ประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพได้กำหนดยุทธศาสตร์ 3 คำชัดเจน “ปิด-สร้าง-สู้” คือ
ปิด: ยังคงมาตรการปิดด่านกับกัมพูชาต่อไปจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่เป็นภัยคุกคาม แม้กระทบเศรษฐกิจชายแดนแต่ถือเป็นการสื่อสารทางการเมืองถึงความเด็ดขาด
สร้าง : เดินหน้าเร่งสร้างรั้วชายแดนถาวร เพื่อตรึงแนวเขตและป้องกันมวลชนกัมพูชารื้อรั้วหรือรุกล้ำ
สู้ : หากมีการละเมิดอธิปไตย ให้ใช้กฎการป้องกันตัวตามสากล พร้อมตอบโต้ทันที
ไม่ต่างจากท่าทีของ “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 ที่ออกมาแสดงท่าทีขึงขึงทิ้งทวนตำแหน่งก่อนเกษียรอายุราชการในวันที่30ก.ย.นี้ ยืนยัน จะจัดการทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การควบคุมม็อบชายแดน การสกัดโดรน ไปจนถึงการจัดการทุ่นระเบิด ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสังเกตว่ากัมพูชาไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงถอนอาวุธหนัก มีแต่เพิ่มกำลังในพื้นที่
การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และระดับภูมิภาค (RBC) กลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่ก่อผลจริง ท่ามกลางเสียงเตือนว่า หากกัมพูชายังยั่วยุต่อไป ไทยอาจปิดประตูการพูดคุยในอนาคต
นิยมถัดมา คือ ประชานิยม เห็นชัดสารพัดนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลกำลังจัดหนักจัดเต็ม ทั้งนโยบายคนละครึ่งพลัส ซึ่งมีเสียงตอบรับในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฟสแรก จะให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อน ประมาณ 13 ล้านคน วงเงินประมาณ 2.2 หมื่นกว่าล้านบาท พร้อมเพิ่มเติมจากเดือนละ 300 บาท เพิ่มเป็น 2,000 บาท จากนั้นจะเป็นจะเป็นกลุ่มบุคคลทั่วไป โดยคาดว่าจะเริ่มต้นได้ในเดือนต.ค.
ไหนจะสารพัดนโยบายลดค่าของชีพทั้งค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทางราคาสินค้าเกษตร นโยบายแก้หนี้ปลดหนี้ประชาชนรายย่อยรายละไม่เกิน1แสนบาทเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEsรายละไม่เกิน1ล้านบาท เป็นต้น
จับอาการ “อนุทิน” ล่าสุด พูดถึงการประชุมครม.สัญจร 4 เล็งพื้นที่ไปที่เขตปัญหาไทย- กัมพูชา ในแถบอีสานใต้ ตอกย้ำการตุนกระสุนเตรียมพร้อมการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
นิยมสุดท้ายคือ การเมือง “พิมพ์นิยม” แน่นอนว่า ภายใต้สมการภูมิใจไทยที่หวังเป็นพรรค100+ เพื่อชิงเกมจัดตั้งรัฐบาลในวันที่กระแสอาจไม่ท๊อปฟอร์มเหมือนพรรคส้ม บรรดาสารพัดบ้านใหญ่จากเหนือจรดใต้ จึงกลายเป็น สุดยอด “พิมพ์นิยม” ที่พรรคสีน้ำเงินต้องการมากที่สุด
ฉะนั้นจากปรากฎการณ์ที่สารพัดบ้านใหญ่กำลังไหลเข้าสู่ “พรรคสีน้ำเงิน” ในเวลานี้ ไหนจะบรรดารัฐมนตรีในครม.อนุทิน1 ที่เห็นชัดว่า มีการปูนบำเน็จให้กับตัวแทนและทายาทบ้านใหญ่เพื่อซื้อใจในการรวมหัวจมท้ายเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
เป็นการตอกย้ำการเมืองตามแบบฉบับ “เนวินสไตล์” ภายใต้ยุทธศาสตร์ “สามัคคีบ้านใหญ่” ในการสานฝัน “นายกฯหนู” สู่ผู้นำสมัยที่2 ในท้ายที่สุด







