’โลกล้อมไทย‘ เปิดด่านกัมพูชา ลุ้น ‘รัฐบาลอนุทิน’ ปิดเกม

“3 เหล่าทัพ” ประเมินสถานการณ์ตรงกัน ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ส่อเค้าลากยาวข้ามปี เหตุทั้งสองประเทศยังหาจุดกึ่งกลางร่วมกันไม่ได้ การเจรจาทวิภาคี เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง

หากมองในมิติ “การรบ” การยืนในระยะยาว แน่นอนฝ่ายไทยได้เปรียบกว่าฝ่ายกัมพูชา แต่หากเป็นการเดิน “เกมต่างประเทศ” ฝ่ายไทยยังต้องตามแก้เกมฝ่ายกัมพูชา

เหตุกัมพูชามีฝ่ายการเมืองที่เข้มแข็ง เดินไปในทิศทางเดียวกัน นำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คู่ต่อกรของไทยไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันก็ยังเป็น “ฮุน เซน”

ส่วนฝ่ายไทยมีการปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศ ส่งไม้ต่อคนแล้วคนเล่า รวมถึงระดับ ผบ.เหล่าทัพ แม่ทัพ นายกอง จึงขาดการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเมืองภายในประเทศจึงไร้เสถียรภาพ กลายเป็นจุดอ่อน ที่ฝ่ายไทยเป็นรองกัมพูชา

เมื่อเร็วๆ นี้ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ควันออกหู ทำหนังสือประท้วงสิงคโปร์ ตำหนิการแสดงท่าทีจุดยืนสิงคโปร์ต่อสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่กล่าวหาว่าไทยรังแกกัมพูชา

โดยในหนังสือมีคำพูดเชิงตัดพ้อว่า เวลาที่ไทยมีอะไร จะคิดถึงสิงคโปร์เป็นชาติแรกเสมอ และอยากให้สิงคโปร์นึกถึงไทยเป็นชาติแรกด้วยเช่นกัน

ต่อมาสิงคโปร์ จึงได้ปรับท่าที พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อกรณีดังกล่าว เนื่องจากกองทัพอากาศสิงคโปร์ได้ใช้ทรัพยากรไทย เช่น พื้นที่การฝึกทางทหาร ในรูปแบบการฝึกร่วมกับกองทัพอากาศไทย 

เช่น การฝึกเฉพาะกิจภายใต้รหัส “AIR THAISING” ซึ่งจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2526 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิดและเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางอากาศผสม การฝึกผสม COPE TIGER ซึ่งเป็นการฝึกร่วมขนาดใหญ่กับสหรัฐอเมริกาด้วย การฝึกเหล่านี้มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะนักบิน กระชับความสัมพันธ์ และเสริมสร้างศักยภาพการรบร่วมกัน

เช่นเดียวกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ส่งสัญญาณผ่าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ไปถึงมาเลเซีย หวั่นถูกมองไม่เป็นกลาง หลัง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย รับข้อมูลฝ่ายเดียวจาก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี กัมพูชา

กรณีสำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซีย รายงานว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และ ประธานอาเซียน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯไทย เมื่อ 18 ก.ย.2568 โดยได้มีการหารือถึงพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ต่อมานายกฯมาเลเซีย โพสต์บนเฟซบุ๊กระบุว่า ให้ทั้งสองฝ่ายรักษาสันติภาพ และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่นำไปสู่ความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น รวมถึงขอให้มีการแก้ไขประเด็นต่างๆ ผ่านการเจรจา ในการประชุมสมัยวิสามัญของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี) ไทย-กัมพูชา

การแสดงท่าทีของอันวาร์ อิบราฮิม เกิดขึ้นภายหลัง ฮุน มาเนต ร้องขอให้แทรกแซงต่อกรณีตำรวจควบคุมฝูงชนใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางกับชาวกัมพูชา ระงับเหตุไม่ให้รื้อรั้วลวดหนามอยู่ในอธิปไตยไทย ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว

หน่วยงานความมั่นคงไทย ชี้ว่าอันวาร์ หวังใช้กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ปูทางให้ตัวเองเป็นผู้นำสันติภาพ ในฐานะประธานอาเซียน และยังมีเรื่องการเมืองภายในของมาเลเซียเข้ามาเกี่ยวข้อง

ส่วนสิงคโปร์ มีจุดยืนเคียงข้างสหรัฐอยู่แล้ว และมีธุรกิจอยู่ในกัมพูชา พร้อมทั้งเชื่อว่า ไม่มีประเทศไหนจริงใจกับประเทศไทยอย่างแท้จริง 

ทุกประเทศยึดผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่สนใจหลักการ ทั้งผลประโยชน์การเมือง และการลงทุน ซึ่งซ้อนทับกันอยู่ สุดท้ายแล้ว ประเทศไทยต้องพึ่งตัวเองให้มากที่สุด

“เราควรปรับท่าที จะเดินเกมแบบเดิมคงไม่ได้ ประเทศไหนทำอะไร แล้วเรารู้สึกไม่โอเค ต้องประท้วง ส่งสัญญาณกลับไป เพื่อให้เขารู้ว่าเราไม่โอเค เช่นเดียวกับที่กองทัพบกส่งสัญญาณไปยังประเทศมาเลเซีย” หน่วยงานความมั่นคง ระบุ

จากข้อมูล National Bank of Cambodia-NBC และ Council for the Development of Cambodia - CDC เคยรายงานต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชา 10 ชาติ ที่ลงทุนอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศกัมพูชา ปี 2567 พบว่า

จีน 49.82% เวียดนาม 8.11% เกาหลีใต้ 5-6% ญี่ปุ่น 4-5% สิงคโปร์ 3.83% มาเลเซีย 2-3% ไทย 1-3% แคนาดา 8.6% สหราชอาณาจักร 1-2% สหรัฐอเมริกา 1-1.5%

โดย 10 ชาติเหล่านี้ ล้วนได้รับผลกระทบจากกรณีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา และคาดหวังให้สองประเทศเร่งหาทางออก คลี่คลายปัญหาโดยเร็ว เพื่อบรรเทาผลกระทบการลงทุนของตัวเองในกัมพูชา หากปล่อยสถานการณ์ลากยาว สุดท้ายไทยจะถูกบีบให้เปิดด่านในที่สุด 

ดังนั้น จึงต้องจับตาว่าทิศทางประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย โดยนายกฯอนุทิน จะปิดเกมชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยวิธีการใด ภายใต้เงื่อนไขกัมพูชาต้องสิ้นสภาพภัยคุกคาม และไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว