โจทย์ใหญ่พลิกฟื้น ‘พรรคเพื่อไทย’ ผู้นำพรรค นายกฯ ใหม่ ?

ยุทธศาสตร์พลิกฟื้นแต้มนิยมทางการเมืองของ "พรรคเพื่อไทย" จะยังวางบทบาท "แพทองธาร" นั่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเพื่อตรึง สส.เอาไว้ พร้อมวางแคนดิเดตนายกฯ สร้างเชื่อมั่น
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องให้ตระกูลชินวัตร กุมทิศทางพรรคในฐานะหัวหน้าพรรค เพื่อยึดโยงสร้างความเชื่อมั่นให้กับ สส. ไม่ให้เลือดไหลออกจากพรรคในช่วงขาลง
- โจทย์พลิกฟื้นคะแนนนิยม "เพื่อไทย" ต้องวางตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่สังคมเชื่อมั่นด้านการเมือง มีภาพลักษณ์การแก้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และต้องมีคนจากตระกูลชินวัตรในบัญชีรายชื่อแคนดิเดต
- "ก่อแก้ว พิกุลทอง" ชี้ภาพ "แพทองธาร" ในฐานะหัวหน้าพรรค ตัวแทน "นายใหญ่" สามารถเชื่อมถึงตัว สส.ได้ทันที
- ขุมกำลังบ้านใหญ่ของ "พรรคเพื่อไทย"ที่มีฐานเสียงแข็งแรง เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคไม่ให้ยอด สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง
กระแสความนิยมมีผลต่อความอยู่รอดของพรรคการเมือง 3 ก๊ก ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน คะแนนจะพุ่งหรือจะร่วงลง ขึ้นอยู่กับท่าทีของพรรคการเมือง รวมทั้งนโยบาย และการเดินเกมผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ปัจจัยหลักของพรรคภูมิใจไทย อยู่ที่การผลักดันการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน คือ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งจะใช้โครงการเฉพาะหน้า “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ไปกระตุ้นเรตติ้งกระชากคะแนนนิยมเฉพาะหน้า
ขณะที่ภาพการเดินหมากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)นั้น หากพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนไม่ประคองให้ดี มีการบิดพลิ้วเงื่อนไข MOA ย่อมมีผลต่อคะแนนนิยมในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2569
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์กันว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยหักดิบไม่ทำตาม MOA แก้ไขรัฐธรรรมนูญตามที่พรรคประชาชนเรียกร้อง การตอบคำถามประชาชนในการเลือกตั้ง จะทำให้เกิดภาพลบต่อค่ายน้ำเงิน และค่ายส้มไม่น้อย ส่วนพรรคที่เจ๊งที่สุดคือ “พรรคประชาชน”
จับความเคลื่อนไหวของ 3 พรรค "สามก๊ก" คอการเมือง รวมทั้งนักวิชาการ ยกเครดิตให้ “ภูมิใจไทย” มีแต้มนิยมมากที่สุดในชั่วโมงนี้ เพราะได้สรรพกำลังทั้งอำนาจรัฐ อำนาจเงิน อำนาจกลุ่มทุน อำนาจการเมือง ไหลเข้ามาอยู่พรรคครูใหญ่
ปรากฎการณ์ของภูมิใจไทย จึงไม่ต่างจากพรรคไทยรักไทยในอดีต ที่ดึงดูดบ้านใหญ่หลายกลุ่มการเมืองเข้าสู่พรรค จนนำไปสู่แลนด์สไลด์ แต่สำหรับภูมิใจไทยยังต้องรอลุ้น
จับตาภูมิใจไทยขยับขึ้น 80-100 สส.
วิเคราะห์โอกาสที่พรรคภูมิใจไทยจะได้ สส.มากขึ้น มีสูง แม้แต่ สส.พรรคเพื่อไทย ยังประเมินว่า มีโอกาสถึง 80 เสียง เพราะได้เสียงสส.บ้านใหญ่ จ.เพชรบูรณ์ มาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เสียง ซึ่งเข้าเป้าแน่นอน รวมทั้งได้เครือข่าย สส.สงขลา จากกลุ่มนิพนธ์ บุญญามณี เมื่อรวมแล้วมีโอกาสเกิน 80 เสียง ถ้าสามารถตรึงกำลัง สส.เดิมไว้ได้อยู่
ขณะที่กลุ่มจังหวัดอีสานใต้ เป็นขุมกำลังสำคัญที่พรรคภูมิใจไทย ต้องยึดกุมให้สำเร็จแบบเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป้าหมายอยู่ที่การดึงดูด สส.ค่ายเพื่อไทย ให้มาอยู่กับพรรคสีน้ำเงิน เพื่อปั้นโอกาสการเป็นพรรคแกนนำเบอร์ 1 ด้วยตัวเลขไม่ต่ำกว่า 100 เสียง
โอกาสของพรรคภูมิใจไทย จึงอยู่ที่ 4 เดือนนับจากนี้ จะต้องรักษากระแสนิยมตัวเอง และตัวนายกฯ อนุทิน ไม่ให้ร่วงลง หรือเพลี่ยงพล้ำ หากไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนคดีฮั้ว สว. หรือคดีเขากระโดง ย่อมมีโอกาสที่จะรักษากระแส ไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ได้ แต่ถ้าเกมพลิกขึ้นมา เข้าไปยุ่งกระบวนการสอบสวน โอกาสที่คะแนนจะร่วงก็มีสูง
ปชน.กอดภท. แก้รธน.รักษาแต้ม
ขณะที่พรรคประชาชน สมการ สส.ถูกประเมินว่า จะมีไม่ต่ำกว่า 100 เสียงเช่นกัน แต่ด้วยแรงกระแทก หรือสึนามิภายในพรรคที่มี สส.ไม่เห็นด้วยกับการโหวตอุ้ม “อนุทิน” มีผลต่อคะแนนนิยมไม่น้อย โอกาสที่จะรักษาคะแนนนิยมไปใช้หาเสียงการเลือกตั้งได้ จึงต้องประคับประคองให้พรรคภูมิใจไทยไม่บิดพลิ้ว เงื่อนไข MOA เพื่อเอาไว้ชูตอนหาเสียงว่า เป็นผลงานเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ผลงานรูปธรรมของพรรคสีส้มยังไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนมากนัก ตั้งแต่เป็นฝ่ายค้านในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
จุดฟื้น พท.แคนดิเดตต้องเชื่อมั่น
ตัดมาที่พรรคเพื่อไทย ในห้วงที่ไร้ผู้นำจิตวิญญาณ “ทักษิณ ชินวัตร” กำลังถูกบังคับโทษคุมขังในเรือนจำ 1 ปี ตั้งแต่ 9 ก.ย. 2568 เพื่อไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ ให้ “ตระกูลชินวัตร” ตรึงกำลัง สส.ของพรรคไม่ให้แตกแถว หรือถูกพลังดูดจากขั้วตรงข้าม
“แพทองธาร ชินวัตร” ยังจำเป็นต้องนั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ และยึดโยงนักการเมืองเอาไว้ พร้อมกับโจทย์สำคัญ ที่ต้องกู้เรตติ้งที่ร่วงจากกรณีคลิปเสียง ให้ฟื้นขึ้นมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแสดงจุดยืนของตระกูลชินวัตร มีผลต่อความเชื่อมั่นของ สส. บ้านใหญ่ และกลุ่มทุนในภายพรรคสูง รวมทั้งยังต้องใช้นโยบายเป็นจุดขายในการหาเสียง ประกอบกับตัวแคนดิเดตนายกฯ จะต้องมีส่วนผสมคนในพรรค ซึ่งเป็นที่ยอมรับในภาคการเมือง ต้องมีบุคลากรที่มีภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และยังต้องมีแคนดิเดตนายกฯ ตัวแทนของคนชินวัตร อยู่ 1 ใน 3 รายชื่อ
ด้าน "ก่อแก้ว พิกุลทอง" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประเมินกระแสเพื่อไทยต่ำ 100 สส.ว่า ขณะนี้กระแสของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน จะเป็นการดึงฐานเสียงคนเสื้อแดงไปมาอยู่ ซึ่งประชาชนกำลังมองถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่พรรคประชาชนตัดสินใจเรื่อง MOA มีผลต่อการต่อสู้ของฝ่ายประชาชน หากเกิดมีปัญหา คะแนนพรรคส้มจะหายไปเยอะ ถ้าพรรคภูมิใจไทยเบี้ยว พรรคส้มอาจทรุุดได้ ผมว่าพรรคประชาชนยังได้ 100 เสียงอยู่"
“ก่อแก้ว”วิเคราะห์ถึงขุมกำลัง สส.ค่ายแดงว่า ขณะนี้ สส.อีสานใต้ ยังเป็นกลุ่มที่ลังเล เพราะมีปัจจัยเกี่ยวกับพลังดูดของพรรคอื่นมาร่วมด้วย ดังนั้น โจทย์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้ ควรต้องนำเสนอการแก้ไขนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่เป็นจุดแข็งของพรรค เพราะปัญหาใหญ่ของประเทศ เรื่องปากท้อง สำคัญพอๆ กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การมีกินมีใช้ จึงสำคัญกว่า"
“เพื่อไทยจะกลับมาฟื้นได้ ปัจจัยอยู่ที่แคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย ซึ่งสังคมเชื่อมั่น ต้องเป็นมือเศรษฐกิจ หรือการเมืองภาพดีสังคมยอมรับ ผมยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังได้ สส.เกิน 100 เสียงอยู่”
“ก่อแก้ว” ระบุว่า “ตัวนายกฯ อิ๊งค์ นั้น สส.คุ้นเคยอยู่แล้ว ท่านรู้จัก สส.ส่วนใหญ่ ทำให้ทำงานได้ง่าย เป็นตัวแทนชินวัตร ดูแลพรรคได้ ทำให้การสื่อสารจะง่ายขึ้น เพียงแต่ว่านายกฯ อิ๊งค์ไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ แต่การมีภาพคนชินวัตรอยู่ จะช่วยให้ สส.มีความเชื่อมั่น"
"เป็นไปได้ ที่พรรคเพื่อไทยต้องวาง 2 ขา คือ ให้หัวหน้าพรรคเป็นชินวัตร และแคนดิเดตนายกฯ อีกขา เป็นคนชินวัตร และคนการเมือง”
สำหรับจุดที่ทำให้เพลี่ยงพล้ำสำหรับ “เพื่อไทย” คือการต่อสู้กับ “พรรคภูมิใจไทย” ในสนามเลือกตั้ง เพราะภาพของค่ายน้ำเงินอาศัยบ้านใหญ่ทั้งอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ ซึ่งได้เปรียบในอำนาจรัฐ และมีกลุ่มทุนหนุุนหลัง ถ้าองคาพยพเหล่านี้ยังจับมือกันแน่น โอกาสที่ “ภูมิใจไทย” พลิกแซงมีสูง
รักษาฐานเสียง พท.ให้อยู่รอด
อย่างไรก็ตาม หลังเสร็จศึกเลือกตั้งนายก อบจ.เมื่อ 1 ก.พ. 2568 ครั้งนั้นกระแสพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยต่อสู้กันหนัก ต่างฝ่ายต่างแพ้ชนะกันอย่างสูสี กระทั่ง “ทักษิณ” เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ สส.200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แน่นอนว่ากลุ่มบ้านใหญ่ ฐานเสียงท้องถิ่นแข็งแรงจากผลงานนายก อบจ.จะทำให้ พรรคเพื่อไทยรักษาฐานที่มั่นไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็น นครพนม หนองคาย สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ นครราชสีมา น่าน ยโสธร สกลนคร
ทั้งหมด คือ โอกาสทางยุทธศาสตร์ ที่“ค่ายแดง”จำเป็นต้องแก้โจทย์โดยเร็ว เพื่อตรึงฐานที่มั่น สส.ไม่ให้ร่วงลง จนต่ำกว่า 100 เสียง โดยเฉพาะภาคอีสาน ที่เป็นฐานเสียงหลัก
บทเรียนในอดีตมีอยู่ ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ครั้งนั้นพรรคเพื่อไทย เคยทำโพล 1 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง คะแนนของพรรคยังมาเป็นอันดับ 1 โดยโพลในกรุงเทพฯ ค่ายแดงจะชนะเกินครึ่ง แต่กลับพลาดท่าพ่ายแพ้พลังกระแสสีส้ม ที่ชูแคมเปญ “มีลุง ไม่มีเรา” อย่างหนักใน 7 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
บทเรียนนี้ จึงต้องนำมาแก้ใหม่ให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีกระแสเรื่องชาตินิยม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจปากท้อง
ความจำเป็นของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องให้คนชินวัตรกุมทิศทางพรรคอยู่ ในทางหนึ่งเพื่อไม่ให้ สส.บ้านใหญ่เลือดไหล หรือไม่เชื่อมั่นจนกระทบต่อยุทธศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 100 สส.
สิ่งที่น่าจับตา สมการหลังการเลือกตั้ง หากการเมืองไทยหลังเลือกตั้งปี 2569 ยังเป็นสมการ สามก๊กใหญ่ น้ำเงิน-แดง-ส้ม กวาด สส.พรรคละไม่ต่ำกว่า 100 เสียง
เกมการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า คงได้เห็นภาพ 2 ก๊กจับมือกันเช่นเคย เพียงแต่ว่าสมการสีไหน จะเป็นนายกฯ เท่านั้น ต้องลุ้นกันหลังเสร็จศึกเลือกตั้ง







