‘ก๊กส้ม’ ปักธงรัฐธรรมนูญใหม่ สัญญาณรื้อ 'ศาล-องค์กรอิสระ'

‘ก๊กส้ม’ ปักธงรัฐธรรมนูญใหม่ สัญญาณรื้อ 'ศาล-องค์กรอิสระ'

ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่า ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “ก๊กส้ม” เตรียม “ปิดผนึก-จำกัดอำนาจ” องค์กรอย่างศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน

KEY

POINTS

  • พรรคประชาชน (ก๊กส้ม) เสนอโมเดล "2 คณะ" ประกอบด้วยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาที่ปรึกษา เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
  • เป้าหมายสำคัญของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่คือ การปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง โดยส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการรื้อและจำกัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ
  • ประเด็นหลักที่ต้องการแก้ไขคือ อำนาจในการยุบพรรคการเมือง และการตีความเรื่องมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต
  • เนื้อหาในรัฐธรรมนูญใหม่จะมุ่งเน้นการออกแบบสถาบันการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน และควบคุมไม่ให้องค์กรของรัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ

ในโมเดล “2 คณะ” ของ “ก๊กส้ม” พรรคประชาชน(ปชน.) เพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มเติมหมวด 15/1 เปิดทางการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในชื่อของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน และมี “สภาฯที่ปรึกษา” จำนวน 100 คน มาช่วยหารือ กำหนดทิศทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำลังได้รับความสนใจอย่างยิ่งจาก “ปัญญาชน-นักวิชาการ”

ทั้งนี้ ใน 3 โมเดล สสร.ของ “3 ก๊กการเมือง” มีเพียงโมเดลของ ปชน.เท่านั้น ที่ส่อเอื้อให้ “นักวิชาการฝ่ายซ้าย” เข้าไปนั่งได้จำนวนมาก แตกต่างจากโมเดลของ “ก๊กแดง” เพื่อไทย “ก๊กน้ำเงิน” ภูมิใจไทย ที่ค่อนข้างเน้นการเลือกตั้งประจำจังหวัด ซึ่งมีลักษณะ “บ้านใหญ่” ดัน “คนของตัวเอง” เข้ามามากกว่า

ประเด็นที่น่าสนใจ ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ที่เปิดทางตั้ง “2 คณะ” ของ ปชน.นั้น ในส่วนของหลักการ และเหตุผลระบุไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยมี 2 “คีย์เวิร์ด” คือ “ปัญหาความชอบธรรมทางประชาธิปไตย” และ “บทบัญญัติรัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย” โดยมีไทม์ไลน์การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ดังนี้

ภายหลังเลือกตั้ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาที่ปรึกษาฯ ให้แล้วเสร็จ จะมีเวลา 270 วัน (ประมาณ 9 เดือน) ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนจะนัดประชุมร่วมกันระหว่าง กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ โดยไม่ลงมติใช้เวลาไม่เกิน 15 วัน หลังจากนั้นจึงส่งให้ประธานรัฐสภา บรรจุวาระเพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาโหวตเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ ซึ่งไม่มีอำนาจในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยหากที่ประชุมรัฐสภาโหวตไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นอันตกไป และ กมธ.ยกร่างฯ กับสภาที่ปรึกษาฯ ย่อมพ้นจากตำแหน่ง

แต่ถ้าผ่านมติเห็นชอบจากรัฐสภา ขั้นตอนต่อไปประธานรัฐสภาจะส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้แก่นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจัดทำ “ประชามติ” ภายใน 7 วัน เพื่อจัดวันออกเสียงประชามติ ถ้าหากไม่ผ่านประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอันตกไป และ กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ ย่อมพ้นจากตำแหน่ง

หากร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวผ่านประชามติ “เห็นชอบ” ให้ประธานรัฐสภา นำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 30 วัน เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้บังคับได้ โดยให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

เมื่อร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ ดำเนินการร่าง “กฎหมายลูก” หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) โดยมีระยะเวลา 180 วัน (ประมาณ 6 เดือน) หลังจากนั้นจัดประชุมร่วมระหว่าง กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ เพื่ออภิปราย โดยไม่ลงมติ ภายใน 15 วัน หลังจากนั้นให้ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เสนอร่าง พ.ร.ป. แก่ประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ภายใน 15 วัน โดยรัฐสภาจะแก้ไขเนื้อหามิได้

โดยกรณีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฉบับใดผ่านรัฐสภา ให้ทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน แต่กรณีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้เป็นอำนาจหน้าที่รัฐสภา ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป

เบ็ดเสร็จแล้ว หากร่างรัฐธรรมนูญใหม่เดินทางผ่าน “โมเดลก๊กส้ม” โดยไม่มีอะไรติดขัดเลย จะใช้ระยะเวลาราว 10 เดือน จึงเห็นประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และใช้เวลาอีกประมาณ 7 เดือนในการทำกฎหมายลูก และผ่านมติรัฐสภา รวมแล้วจะใช้ระยะเวลาราว 17 เดือน หรือ 1 ปี 5 เดือน

ตัดกลับมาที่สาระสำคัญในการจัดตั้ง “กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ” และ “สภาที่ปรึกษาฯ” ต่างกำหนดวิธีการได้มา คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม โดยส่วนใหญ่นำมาจากคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ สส. สว. รัฐมนตรี ในรัฐธรรมนูญปี 2560

ที่น่าสนใจ คือ การไม่ระบุลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง จากคดีทางการเมือง มีแค่ตัดสิทธิจากคดีเกี่ยวกับการทุจริต นอกจากนี้ยังห้าม สส. สว. รัฐมนตรี ผู้บริหารท้องถิ่น มาสมัครเป็น กมธ.ยกร่างฯ หรือสภาที่ปรึกษาฯ โดยต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี ดังนั้น จึงอาจเปิดช่องให้บรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่กลับเข้ามาตั้งทีมเพื่อสมัครเป็น กมธ.ยกร่างฯ หรือสภาที่ปรึกษาฯ ได้

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้คงต้องมีการตีความกันต่อไป เนื่องจากในรัฐธรรมนูญปี 2560 มิได้มีการระบุถึง “สสร.” หรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มาก่อน การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีตัดสิทธิทางการเมือง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ปิยบุตร แสงกนกกุล-พรรณิการ์ วานิช” หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพ้นเก้าอี้ สส.ไปตั้งแต่ ก.พ.2563 หรือเกิน 3 ปีไปแล้ว (นับถึง ก.ย.2568) จึงอาจเกี่ยวพันกับแค่กรณีการดำรงตำแหน่งเป็น สส. สว. ผู้บริหารท้องถิ่น รัฐมนตรี ข้าราชการทางการเมือง หรือตำแหน่งทางการเมืองอื่น เท่านั้น อาจไม่ได้หมายรวมถึง กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งยังไม่ได้มีการตีความว่าเป็น “ตำแหน่งทางการเมือง” หรือไม่

ประเด็นที่น่าสนใจถัดมา คือ ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำ และรัฐสภาให้ความเห็นชอบ จะต้องมีเนื้อหาที่สำคัญ เช่น การรับรองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักรจะแบ่งแยกมิได้ การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

รวมถึงการออกแบบสถาบันทางการเมือง ให้มีที่มายึดโยงกับประชาชน ประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ และมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รวมถึงการจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐ การควบคุมมิให้องค์กรของรัฐใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ หรือขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน และการวางหลักเกณฑ์ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามฉันทามติของประชาชน หรือผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ในเนื้อหาสำคัญมี 2 คีย์เวิร์ด ได้แก่ “ออกแบบสถาบันการเมืองที่ยึดโยงประชาชน” กับ “ควบคุมมิให้องค์กรของรัฐใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ” ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 คีย์เวิร์ดดังกล่าว อาจหมายถึงการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองที่ “ก๊กส้ม” ต้องการมาตลอดนั่นคือ การรื้อสร้าง “องค์กรอิสระ” ขึ้นใหม่

โดยเฉพาะกลไกของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ “ก๊กส้ม” มองว่าอาจไม่มีความจำเป็นกับ “การเมืองไทย” เห็นได้จากก่อนหน้านี้ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่ตอนนี้วางมือทางการเมือง กลับมาเป็น “นักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญ” เคยแสดงความเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่มีความจำเป็น และเสนอให้ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตั้ง “องค์กรใหม่” ขึ้นมาทำหน้าที่

นอกจากนี้ ยังอาจแก้ไขในรายละเอียดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการตีความ เช่น ความผิดฐาน “ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม” ซึ่ง “ก๊กส้ม” มองว่าเป็น “นามธรรม” และเกิดให้มีการตีความอย่างกว้างขวางจนเกินขอบเขต รวมถึงการ “ยุบพรรคการเมือง” ที่ระบอบการปกครองสากล ไม่ควรให้องค์กรใดองค์กรหนึ่ง มีอำนาจถึงขั้นยุบทิ้งพรรคการเมือง ซึ่งถือเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนลงได้

นั่นจึงทำให้ศาลรัฐธรรมนูญถูกโฟกัสอย่างหนักจาก “ก๊กส้ม” ในเรื่องขอบเขตอำนาจการตีความของศาลที่กว้างขวาง รวมถึงบางครั้งอาจตีความ “เกินขอบเขต” เช่น การตีความคำถามประชามติควรจัดทำกี่ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ตีความเกินคำถามไป โดยระบุว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์หนาหู

ยังมินับว่าศาลรัฐธรรมนูญในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เคยมีคำวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองมาแล้วหลายพรรค หากนับเฉพาะพรรคใหญ่ที่ส่งผลต่อการเมืองไทย เช่น พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคอนาคตใหม่ และล่าสุดพรรคก้าวไกล ต่างต้องเผชิญชะตากรรมเหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น

ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่า ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “ก๊กส้ม” เตรียม “ปิดผนึก-จำกัดอำนาจ” องค์กรอย่างศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน มิพักว่าองค์กรอิสระอื่นๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ กกต. อาจถูกจำกัดอำนาจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการไต่สวนคดีด้านจริยธรรม และคดียุบพรรคการเมือง เป็นต้น

ทว่า ก้าวแรกของ “ก๊กส้ม” ก่อนจะถึงฝันนั้น ยังต้องฝ่าอีกหลายด่าน ไม่ว่าจะเป็นความเห็นชอบจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่แม้ “ก๊กส้ม” จะผลักดัน “ภูมิใจไทย” ให้ได้เถลิงอำนาจเป็นรัฐบาลก็ตาม แต่ใช่ว่า “ก๊กน้ำเงิน” จะอ่านหมากเกมนี้ไม่ออก นี่ยังไม่นับถึงด่าน สว.ที่ “ก๊กน้ำเงิน” ยังมีบารมีอยู่ 

สารพัดขวากหนามเหล่านี้ อาจ “ดับฝัน” ของ “ก๊กส้ม” ที่เร่งอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเดินเกมพลาด กลายเป็นเสียรังวัดทางการเมืองอีกครั้ง ก็เป็นไปได้

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์