'สาทิตย์' สวน 'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

'สาทิตย์' สวน 'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

'สาทิตย์' มองการเมืองภาคใต้ 'ซุ้มการเมือง' วิ่งหาทรัพยากร 'ภูมิใจไทย-กล้าธรรม' ดูดแหลก สวน'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสส. ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการคมชัดลึก ออกอากาศทางNation22 ถึงปรากฏการณ์ที่พรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรมเดินสาย ดูดสส.และกลุ่มการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ว่า ต้องยอมรับว่าความเคลื่อนไหวทั้ง 2 พรรคในเวลานี้กำลังไปสรรหาตัวผู้สมัคร ต้องใช้คำว่าแข็งขันที่สุด

พรรคกล้าธรรมเท่าที่ทราบคือร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ถึงขั้นโทรไปเองถึงบรรดาอดีตสส.และผู้ที่มีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งในครั้งหน้า

ล่าสุด ดูเหมือนจะตั้งนายหิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ สมาชิกพรรคกล้าธรรม รวมถึงทีมงานในพื้นที่ เป็นตัวติดต่อ

'สาทิตย์' สวน 'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

ส่วนพรรคภูมิใจไทย มาแรงตั้งแต่ปี 2562 จนมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 ยิ่งขณะนี้ได้เป็นรัฐบาลก็ดูเหมือนว่า จะขยายออกไปมากยิ่งขึ้น

ในข่าวใช้คำว่าบ้านใหญ่ หลายที่ก็คาดว่าจะไปซบภูมิใจไทยตอนนี้ก็เริ่มสนุกเพราะมีเฟซบุ๊คในปักษ์ใต้เริ่มโพสต์ตั้งคำถามกันแล้วว่า ทำไมคนย้ายไปพรรคโน้นพรรคนี้กันจัง เขาไปเอาอะไรกันหรือ

ส่วนที่มีการมองว่าการที่สส.ย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติทางการเมืองส่วนตัวมองว่าไม่ปกติ ในอดีตที่ผ่านมาการย้ายพรรคโดยทั่วไปมันหมายถึงต้องมีปัญหาความขัดแย้งกับพรรคการเมืองเดิม หรือแนวคิดอุดมการณ์ที่ไม่ตรงกัน แต่ช่วงหลังปรากฏการณ์ย้ายพรรคที่เกิดขึ้นกลับไปสัมพันธ์เรื่องของการหาเสียงเลือกตั้ง

ในแต่ละเขตพื้นที่ซึ่งเริ่มมีการพูดถึงกระแสกับกระสุนมากขึ้นเพราะบางคนเขาบอกว่า มีกระแสไม่สำคัญเท่ากระสุน บางทีก็บอกว่า กระแสอาจจะสู้กระสุนไม่ได้ แต่ปาร์ตี้ลิสต์กระแสก็อาจจะได้เปรียบกว่ากระสุนเป็นต้น

นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า จึงมีการตั้งคำถามว่าคนที่ย้ายพรรคไปหาแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม หรือเป็นเรื่องแนวคิดที่ไม่ตรงกัน ซึ่งจากที่เป็นปรากฏเป็นข่าวก็ชัดขึ้นว่า หลายกรณีไม่ใช่เรื่องแนวคิดไม่ตรงกัน แต่เป็นเรื่องของการไปแสวงหาทรัพยากรที่มันสมบูรณ์มากกว่า ที่ต้องใช้ในการเลือกตั้ง

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในแง่ของปัจจัยที่คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ว่าจะเลือกใคร เริ่มเปลี่ยนจากแนวคิดนโยบาย หรือบุคคลมาเป็นปัจจัย หรือกระสุน ที่ใช้ในการเลือกตั้ง ในทางหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของตัวคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย

'สาทิตย์' สวน 'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

เมื่อถามถึงกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มสงขลานำโดย นายเดชอิศม์ ขาวทองรักษาการเลขาธิการพรรค เตรียมนำสส.ย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรมก่อนที่ต่อมาจะออกมายืนยันว่า ยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เขาใช้คำว่าตอนนี้ยังอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ตนเคยเจอมาเวลาใครถามว่า ตอนนี้อยู่พรรคไหน ตอนนี้อยู่พรรคนี้ แต่ไม่มีใครถามต่อว่า ตอนหน้าจะไปไหน 

ทั้งนี้ในแต่ละพื้นที่ก็จะมีสภาพลักษณะที่แตกต่างกันอย่างกรณี ทีมของนายเดชอิศม์ อาจจะพันถึงพรรคประชาธิปัตย์เดิมที่เขาอยู่มาได้ เพราะเขาเป็นเลขาธิการพรรค แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงจริงเขาก็อาจจะกังวลถึงสถานะภาพของตัวเองอาจจะคิดไปหาพรรคการเมืองอื่นที่ตัวเองมีความรู้สึกว่าอาจจะมีที่ทางดีกว่าซึ่งในส่วนนี้ก็อาจจะเป็นไปได้

นายสาทิตย์ ยังกล่าวว่า ส่วนจังหวัดอื่นๆในแง่ประชาธิปัตย์เดิมในภาคใต้ก็มีจำนวนลดน้อยลงมากที่เยอะคือ จ.นครศรีธรรมราชคือกลุ่มของนายชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเป็นกลุ่มใหญ่ซึ่งก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยับ ส่วนที่อื่นตนไม่ทราบ

ผู้ดำเนินรายการ ถามย้ำว่าในกรณีของนายเดชอิศม์ ขาวทอง อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง สถานะก็อาจจะมีปัญหา กลุ่มนายเดชอิศม์ขณะนี้ยังมีความเคลื่อนไหวจะขึ้นมาชิงหัวหน้าพรรคหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นข่าว ในประชาธิปัตย์หลังจากที่มีการกำหนดวันประชุมใหญ่วิสามัญพรรคในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ดูเหมือนความเคลื่อนไหวจะสงบลงและรอดูว่า ถึงวันที่ 18 ต.ค.จริงๆ จะมีใครสมัครบ้าง ชื่อที่ปรากฏเป็นแคนดิเดตก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์ นางนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง หรือแม้แต่นายกรณ์ จาติกวนิช  หรือแม้แต่มีคนพูดถึงนายเดชอิศม์ จะมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอง ซึ่งสุดท้ายท่านก็ปฏิเสธ ก็ยังไม่มีใครออกมาให้สัมภาษณ์อะไร

สถานการณ์ขณะนี้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องการพูดคุยกัน ของคนที่จะเป็นโหวตเตอร์ หรือคนที่เคยอยู่พรรคอาจจะสมัครกลับเข้ามา และไปโหวตในวันที่ 18 ต.ค.เสียมากกว่า แต่โดยปกติที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ก่อนวันประชุมก็จะชัดเจนแล้วว่า จะมีผู้ใดสมัครลงชิงตำแหน่งบ้าง 

ส่วนที่นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีตสส.ตรัง หรือโกหนอ ประกาศว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรค น่าจะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ รวมถึงกรณีที่นายสมชายประกาศว่า ถ้าในพื้นที่ตรังมีสาทิตย์จะไม่มีนายสมชายนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า ประเด็นการสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ตนก็ได้ยินมาจากหลายที่ต้องยอมรับว่า ถ้านายเฉลิมชัยสนับสนุน โอกาสก็มีแน่ๆ เพราะโหวตเตอร์เสียงข้างมากในกรรมการบริหารพรรค ในกลุ่มสส.อยู่กับนายเฉลิมชัยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้ก็จะสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของนายเฉลิมชัยตอนที่ลาออกว่ามีปัญหาสุขภาพ และเพื่อเปิดโอกาสให้พรรคไปหาคนดี มีความรู้ความสามารถเข้ามา ซึ่งอาจจะมีนัยบางอย่าง ก็ได้

“ ส่วนที่ว่ามีผม ไม่มีเขา มีเขา ไม่มีผม ผมยังงงว่า เราไปโกรธอะไรกันตอนไหน ผมไม่มีธุรกิจที่จะไปขัดแย้งกับใคร บ้านคุณสมชายก็มีธุรกิจรับเหมาเป็นหลัก พี่ชายคุณสมชายเป็นนายกอบจ.ตรัง เคยแข่งกับน้องชายผม ก็แพ้ชนะกันนิดหน่อย แต่ผมเป็นคนที่เป็นประชาธิปไตยพอ ที่จะจบแล้วก็จบ”

นายสาทิตย์ ยังกล่าวว่า “ แต่ที่ผมประหลาดใจคือ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2566 เราพรรคเดียวกันคือ พรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่าคุณสมชายไปจับมือกับคุณทวี (สุระบาล) พรรคพลังประชารัฐ ล้มผม และล้มสำเร็จด้วย มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวเยอะ ตัวเลขก็น่าตกใจ แต่ผมก็มองว่าอันนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าวิเคราะห์”

“คำพูดที่ว่า พรรคเดียวกันคนละพวก พวกเดียวกันต่างพรรค มันสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอ ความล้มเหลวของความเป็นพรรคการเมืองด้วย เพราะแท้จริงแล้วพรรคการเมืองควรจะมีลักษณะของการร่วมแนวคิด ร่วมอุดมการณ์กัน”

'สาทิตย์' สวน 'โกหนอ' พวกเดียวกันต่างพรรค สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมือง

นายสาทิตย์ ยังกล่าวอีกว่า หลายพรรคการเมืองในขณะนี้ ซึ่งรวมถึงประชาธิปัตย์ด้วย มันกลายเป็นกลุ่มก้อนภายใน ที่จับกลุ่มกันแล้วก็ชิงดีชิงเด่นกับอีกกลุ่มหนึ่ง แม้กระทั่งในจังหวัดเดียวกัน มันกลายเป็นระบบพรรคการเมืองที่อ่อนแอ เพราะไม่ได้สะท้อนความเป็นแนวคิดเดียวกันอีกต่อไป

ตนพูดมาตลอดว่า ถ้าลงพรรคเดียวกัน ความชอบไม่ชอบส่วนตัวต้องเก็บไว้ เป็นพรรคเดียวกัน ต้องช่วยกัน แต่อันนี้ตรงกันข้าม

ยืนยันว่าตนและนายสมชายไม่ได้มีผลประโยชน์ขัดแย้งกันในเชิงธุรกิจแต่หากในมุมการเมือง ก็ต้องดูว่ามีความซับซ้อนกันหรือไม่ ตนกับนายสมชายอยู่คนละเขตกันแล้ว เดิมทีตอนที่นายสมชายลงสมัครสส.ในยุคก่อน ตนก็ไปปราศรัยช่วยกันหาเสียงปกติ เพิ่งมามีความรู้สึกไม่สบายใจกัน เมื่อน้องชายลงสมัครนายกอบจ.ด้วยกัน ก็แข่งกันไปตามปกติ พอแพ้เราก็จบ แต่จุดที่ไปแข่งตรงนั้น ก็มีความรู้สึกที่ไม่พอใจจากนายสมชาย ว่าทำไมต้องส่งน้องชายมาลงแข่งด้วย ซึ่งตนก็ประหลาดใจว่า การแข่งขันกันเป็นเรื่องปกติ ชาวบ้านเป็นคนเลือก

“ผมว่าเรื่องที่ผมจะเข้าพรรคหรือไม่เข้าพรรคไม่ใช่ปัจจัยใหญ่ แต่ปัจจัยใหญ่ อาจเป็นเรื่องอื่นหรือไม่ เขาก็ต้องตอบเอง”

นายสาทิตย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไป หากจะประเมินว่าพรรคไหนมาแรง การเมืองในภาคใต้ยังมีอะไรอีกเยอะ ยังไม่มีการปล่อยแคมเปญหาเสียงออกมา เมื่อแคมเปญออกมา ก็คงจะเห็นอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างที่ตนพูดเวลานี้เริ่มมีคำถามว่า การรวมตัวเป็นบ้านใหญ่ไปต่อรอง