โมเดล 'สสร.สีน้ำเงิน' ผงาด ‘ส้ม’ พลาดซ้ำ เกมแก้รัฐธรรมนูญ

โมเดล 'สสร.สีน้ำเงิน' ผงาด ‘ส้ม’ พลาดซ้ำ เกมแก้รัฐธรรมนูญ

บทสรุปของ “ก๊กส้ม” ที่เดินเกมพลาด 1 ยก แต่อาจพ่ายทั้งกระดานการเมือง จนแม้แต่ “แต้มบุญ” ที่สั่งสมเอาไว้ บวกกับกระแสที่มี เริ่มเสื่อมถอยทีละน้อย อย่างมีนัย

KEY

POINTS

  • มีการเสนอโมเดลการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จาก 3 พรรคการเมืองหลัก โดยโมเดลของพรรคประชาชน (สีส้ม) เน้นการเลือกตั้งจากประชาชน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย (สีน้ำเงิน) และพรรคเพื่อไทย (สีแดง) เน้นการคัดเลือกผ่านกลไกรัฐสภา
  • โมเดล "สสร.สีน้ำเงิน" ของพรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับการผลักดันให้สำเร็จมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันกุมความได้เปรียบทางการเมืองและเสียงข้างมากในรัฐสภา
  • บทวิเคราะห์ชี้ว่าพรรคประชาชน (สีส้ม) เดินเกมการเมืองพลาดซ้ำ ทั้งในการจัดตั้งรัฐบาลและการเสนอโมเดลแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้เสียเปรียบและอาจไม่สามารถควบคุมทิศทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้

เห็นครบถ้วนกันไปแล้วสำหรับโมเดลแก้ไขรัฐธรรมนูญของ “3 ก๊กการเมือง” ได้แก่ พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ในหมวด 15/1 เปิดทางตั้ง “สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ สสร.ก่อนจะทำประชามติ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

โดยไทม์ไลน์ที่ 3 พรรคนำเสนอนั้น คาดว่าจะมีการพิจารณา 3 โมเดล สสร.ดังกล่าวในช่วงเดือนต.ค.2568 นี้ หลังจากนั้น จะมีการสรรหา สสร.ก่อนจะนำไปสู่การตั้งคำถามประชามติ และยุบสภาฯ ในช่วงเดือนม.ค.2569 เพื่อเตรียมเลือกตั้งอีกครั้ง 

ดังนั้นโมเดล สสร.ของทั้ง 3 พรรค คือ จุดชี้ขาดว่า “ใคร”จะเป็นผู้ “คุมเกม” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

สาระสำคัญของ 3 โมเดล สสร.ดังกล่าว แบ่งเป็น 

“ก๊กส้ม” นำเสนอ 2 คณะ คือ 1.คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยใช้สูตร “เลือกตั้งทางอ้อม” โดยใช้รูปแบบลักษณะเดียวกับ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ โดยผู้สมัครจะต้องดำเนินการในรูปแบบ “ทีม” ไม่เกิน 70 คน จากนั้นให้ประชาชนลงคะแนน หลังจากนั้นจะใช้คะแนนเสียงมาคำนวณสัดส่วนของบุคคลในแต่ละทีม จนยอดรวมสุดท้ายไม่เกิน 70 คน ก่อนจะชงรัฐสภามาลงมติเลือกให้เหลือ 35 คน 

2.สภาที่ปรึกษา กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จำนวน 77 จังหวัด จำนวน 100 คน โดยคำนวณจำนวนแต่ละจังหวัดจากฐานประชากร คล้ายกับ สส.แบ่งเขต

“ก๊กแดง” ออกแบบให้มี สสร.จำนวน 151 คน โดย 100 คนแรก มาจากการเลือกตั้ง 2 ส่วน ได้แก่ 1.การเลือกตั้งของประชาชน 77 จังหวัด ให้เป็นจำนวน 2 เท่าของ สสร.ที่แต่ละจังหวัดพึงมี ให้ได้ยอดรวม 300 คน หลังจากนั้นส่งให้รัฐสภาลงมติเลือกเหลือ 100 คน อย่างไรก็ดีกำหนดเงื่อนไขให้มีตัวแทนประชาชนเข้ามาเป็น สสร.ทุกจังหวัด ขั้นต่ำจังหวัดละ 1 คน ส่วนอีก 51 คนมาจากการเสนอชื่อโดยสภาผู้แทนราษฎร และ ครม.

ด้าน “ก๊กน้ำเงิน” ออกแบบให้มี สสร. 99 คน มีที่มา 2 ส่วนคือ 1.ตัวแทนจาก 77 จังหวัดที่รัฐสภาลงมติเลือกผู้สมัครจากจังหวัดต่างๆ คำนวณสัดส่วนจากฐานประชากร 2.การสรรหาจากสายวิชาการ 22 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ สายนิติศาสตร์ 7 คน สายรัฐศาสตร์ 7 คน และสายผู้เชี่ยวชาญ 8 คน

แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ทันเริ่ม แต่การวางหมากของ “3 ก๊ก” ต่างมองไปถึงจุด “คุมเสียงข้างมาก” ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว เพราะแต่ละฝ่ายต่างร่างโมเดลขึ้นตาม “ความช่ำชอง” ของแต่ละ “ก๊ก” 

เช่น “ก๊กส้ม” มีกระแสสูงด้านความนิยม จึงต้องออกแบบ สสร.ให้เน้นการคำนวณสัดส่วนผ่านระบบบัญชีรายชื่อ ส่วน “ก๊กแดง-ก๊กน้ำเงิน” มีจุดแข็งด้าน “บ้านใหญ่” จึงเน้นออกแบบในรูปแบบ “แบ่งเขต” เป็นหลัก

แต่เรื่องของเรื่อง ณ เวลานี้ “ก๊กน้ำเงิน” กำลังคุมเกมทั้งใน “สภาฯ ล่าง” ที่รวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ แม้ว่าจะอาศัยแรงผลักดันของ “ก๊กส้ม” เพื่อหนุนส่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 โดยหล่นวาทะ “ฝ่ายค้านข้างมาก” ตรวจสอบ “รัฐบาลข้างน้อย” ก็ตาม แต่หลายสัญญาณในเวลานี้ เริ่มเห็นได้ชัดว่า “ก๊กน้ำเงิน” กำลังจะรวบรวมเสียงข้างมาก มีหลายมุ้ง-หลายซุ้มเริ่มทยอยติดต่อทั้งทางลับ-ทางแจ้ง ย้ายไปสังกัด “ภูมิใจไทย” กันแล้ว เห็นได้จากรายงานข่าวผ่านสื่อแทบจะรายวัน

เช่นเดียวกันใน “สภาฯ สูง” ฝ่าย “สีน้ำเงิน” ก็ยังคงมี “บารมีสูง” อยู่ ดังนั้นการคุมเกมให้ได้มาซึ่ง สสร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โมเดลแบบ “ก๊กส้ม” ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะฝ่าด่านหิน “การเมืองแบบเก่า” ออกไปได้ โดยเฉพาะ “ก๊กแดง” ที่อาจสบช่องร่วมมือ “ก๊กน้ำเงิน” ผลักดันโมเดล สสร.ในรูปแบบที่ตัวเองถนัดคือ “ก๊กบ้านใหญ่” 

แม้ “พริษฐ์” จะพยายาม “ดักคอ” ฝ่ายสีน้ำเงินที่ให้ “รัฐสภา” เป็นผู้เลือก สสร. อาจเข้าข่ายใช้ “เสียงข้างมากลากไป” ก็ตาม โดยเห็นว่าโมเดลของ “ภูมิใจไทย” คือ การใช้วิธีการคัดเลือกโดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คิดง่ายๆ คือ มีพรรคการเมืองหนึ่งมี สส. 200 คน จากการเลือกตั้งครั้งถัดไป แล้วมี สว. คิดคล้ายๆ 160 คน รวมเป็น 360 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา นั่นหมายความว่าสามารถผูกขาดเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น สสร. หรือคณะกรรมการยกร่าง

ทว่า คงไม่ยากเกินไปนัก หาก “ก๊กน้ำเงิน” ต้องการจะทำโมเดลดังกล่าว และถ้ารูปการณ์ถึงขั้นนั้น ย่อมทำให้หมากของ “ก๊กส้ม” ที่ผลีผลามเดินมาเพราะคิดว่าตัวเองคุมเกมได้ต้องพลาดลงซ้ำสอง 

พลาดครั้งแรก คือ การประกาศแต่ไก่โห่พร้อมผ่าทางตันการเมือง โหวตนายกฯ ให้คนที่พร้อมดีลแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภาฯ ใน 4 เดือน สุดท้ายเกิดความพยายามดีลกับ “ก๊กน้ำเงิน” หวังผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของ “ก๊กส้ม” ตั้งแต่ยุค “อนาคตใหม่-ก้าวไกล”

แต่อาจประเมิน “เกมการเมืองเก่า” ผิดพลาด จนสุดท้ายได้โฉมหน้า ครม.อย่างที่เห็น และเป็นอยู่ ซึ่งประชาชนจำนวนไม่น้อย และ สส.ปชน.หลายคน เคยท้วงติงแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล ทำให้ต้องพยายามกลืนเลือด อธิบายกับโหวตเตอร์ของตัวเองให้เข้าใจ โดยเฉพาะ สส.แบบแบ่งเขต ที่น่าจะชอกช้ำมากที่สุด เพราะบางพื้นที่ก็ไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ทั้งหมด

พลาดครั้งที่สอง คือ ความพยายามเสนอโมเดลร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ค่อนข้างซับซ้อน และประชาชนโดยทั่วไปอาจเข้าไม่ถึง และหวังว่าจะ “ข่มน้ำเงิน” ด้วยการให้โหวตโมเดล หรือผสมโมเดลของ “ก๊กส้ม”เข้าไป แลกกับการไม่ซักฟอกรัฐบาลชุดนี้ แต่อาจลืมไปว่าฤทธิ์เดชของ “ก๊กน้ำเงิน” ในเวลานี้กำลังกระแสสูง ดังนั้นน่าจะเป็นการยากที่ “ก๊กส้ม” จะโหวตคว่ำล้ม “รัฐบาลสีน้ำเงิน” ลงได้ เหมือนสุภาษิต “น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง”

แนวโน้มเป็นไปได้มากที่สุด คือ โมเดล สสร.ของ “ก๊กน้ำเงิน” หรืออย่างน้อย “ส่วนผสม” ของโมเดลสีน้ำเงิน จะผ่านความเห็นชอบ และถูกนำไปใช้ บทสรุปสุดท้ายอาจได้ “สสร.สีน้ำเงิน” เข้ามาเพิ่มเติมในสารบบการเมืองไทย ต่อจาก“สว.สีน้ำเงิน” และ “ครม.สีน้ำเงิน” 

หากโมเดล สสร.สีน้ำเงิน ถูกหยิบมาใช้งานจริง คงต้องยกคำพูดของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” บทเวทีกิจกรรมรำลึก 19 ปีรัฐประหาร ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อ 19 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ตอบคำถามเรื่องทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ว่า “ถ้าตอบแบบเห็นแก่ตัวว่า ถ้าประชามติแพ้ ทำยังไง ผมก็ย้ายประเทศ ไม่อยู่แล้วประเทศนี้”

“แต่ถ้าเอาความเป็นจริง ก็ต้องทำต่อ ถ้าสนามหน้าแพ้ประชามติ ไม่นับเลือกตั้งทั่วไป ก็คงเป็น สว. รอบปี 2572 สนามต่อไป ที่เป็นทางการในการที่จะช่วงชิงอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งต่อไป ถ้าประชามติรอบนี้แพ้ ก็จะอยู่ที่ สว.ปี 2572 นั่นคือภาพที่เป็นจริง” ธนาธร ระบุ

นี่อาจเป็นบทสรุปของ “ก๊กส้ม” ที่เดินเกมพลาด 1 ยก แต่อาจพ่ายทั้งกระดานการเมือง จนแม้แต่ “แต้มบุญ” ที่สั่งสมเอาไว้ บวกกับกระแสที่มี เริ่มเสื่อมถอยทีละน้อย อย่างมีนัย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์