ผ่าโมเดล ปชน. 2 คณะร่าง รธน.ใหม่ จับตา ‘ธนาธร - ปิยบุตร’ คัมแบ็ก

ผ่าโมเดล ปชน. 2 คณะร่าง รธน.ใหม่ จับตา ‘ธนาธร - ปิยบุตร’ คัมแบ็ก

ผ่าร่างแก้ไข รธน. ‘ปชน.’ โมเดล 2 คณะ กมธ.ยกร่างฯ - สภาที่ปรึกษาฯ พบเปิดช่องให้คนโดนตัดสิทธิการเมืองเข้ามาได้ จับตา ‘ธนาธร - ปิยบุตร’ คัมแบ็ก แถมส่อตัดอำนาจบางองค์กรของรัฐ

KEY

POINTS

  • พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้กลไก 2 คณะ คือ "คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ" และ "สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ"
  • องค์ประกอบของทั้ง 2 คณะจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงกับประชาชน
  • ร่างแก้ไขดังกล่าวไม่ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามผู้ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมือง จึงเป็นการเปิดช่องให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล สามารถกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้

เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 พรรคประชาชน (ปชน.) เผยแพร่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 156 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ พร้อมบันทึกหลักการ และเหตุผล ระบุว่า ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่เชื่อมโยงกับรัฐประหาร ถูกรับรองโดยกระบวนการประชามติที่ไม่เสรี และเป็นธรรม และมีบทบัญญัติหลายประการไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 156 โดยเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยกลไกที่มีความยึดโยงกับประชาชน และประชาชนมีส่วนร่วม จึงจำเป็นต้องตรารัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … นี้

สำหรับสาระสำคัญในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว อยู่ในมาตรา 3 ที่ให้คัดเลือกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญใหม่ และพิจารณาให้ความเห็นชอบให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ

โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตามหมวด 15/1 คือให้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย กมธ.จำนวน 35 คน ซึ่งรัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือก และให้มีสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิก 10 0 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

สำหรับบัญชีรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 70 คน มาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรง และลับ โดยให้มีการเลือกตั้งบุคคลที่สมควรได้รับการคัดเลือกเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามหมวดนี้ 

โดยผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งเป็น กมธ.ยกร่างฯ ต้องสมัครรับเลือกตั้งรวมกันเป็นกลุ่มบุคคล โดยจัดทำเป็นบัญชีรายชื่อ ประกอบด้วยผู้สมัครไม่น้อยกว่า 70 คน แต่ไม่เกิน 70 คน จัดทำเรียงลำดับรายชื่อผู้สมัครตามลำดับหมายเลข โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งของแต่ละบัญชีต้องไม่ซ้ำกัน และไม่ซ้ำกับรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง

ให้ผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้งยื่นบัญชีรายชื่อใบสมัคร พร้อมหลักฐานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามแบบ และเวลาที่กำหนด โดยต้องกำหนดวันรับสมัครให้เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร ภายใน 5 วันนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

เมื่อ กกต.ตรวจคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครแล้ว ให้ กกต.ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้ง การออกเสียงลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง การดำเนินการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม และการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้นำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย สส. มาใช้บังคับโดยอนุโลม เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อหมวดนี้

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว บัญชีใดได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 1 ของจำนวนคะแนนเสียงรวมทั้งประเทศ ให้ถือว่าไม่มีผู้ใดในบัญชีนั้นได้รับเลือกตั้ง ทั้งนี้วิธีคำนวณสัดส่วนคะแนนเสียงที่บัญชีรายชื่อแต่ละบัญชีพึงจะได้รับ อันจะถือว่าบุคคลซึ่งมีรายชื่ออยู่ในบัญชีนั้นได้รับการเลือกตั้งตามสัดส่วนที่คำนวณได้ 

ทั้งนี้บุคคลที่มีคุณสมบัติในการสมัครเป็น กมธ.ยกร่างฯ ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ผู้สอนวิชานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือวิชาที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ในสถาบันอุดมศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี 

รับราชการหรือเคยรับราชการไม่น้อยกว่า 3 ปีในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือเทียบเท่า ตำแหน่งอัยการประจำของหรือเทียบเท่า ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนระดับ 8 (ซี 8) หรือข้าราชการพลเรือนประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ ประเภทอำนวยการ หรือประเภทบริหาร หรือปฏิบัติงานหรือเคยปฏิบัติงาน เคยเป็นผู้ทำงานหรือทำงานในภาคประชาสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีตามหลักเกณฑ์ที่ กกต.กำหนด

ส่วนบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี สส. สว. ผู้ว่าฯ กทม. นายก อบจ. นายกเทศมนตรีเทศบาลนคร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ แต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปีก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก และถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ เคยต้องคำพิพากษาคดีร่ำรวยผิดปกติ คดีเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด คดีเกี่ยวกับความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ ความผิดการกู้ยืมเงินที่เป็นฐานฉ้อโกง คดีตามกฎหมายการพนันฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก คดีเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ หรือคดีเกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน รวมถึงเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดฐานทุจริตในการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ยังกำหนดห้าม รัฐมนตรี สส. สว. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษายกร่างฯ หรือเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษายกร่างฯ เป็นต้น

ส่วนสมาชิกสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ มาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรง และลับ โดยให้แต่ละจังหวัด หมายรวมถึง กทม. มีสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน โดยให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้มีการเลือกตั้งภายใน 60 วันนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

ส่วนการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ แต่ละจังหวัดจะพึงมี ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศ ตามหลักฐานทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้าย ก่อนปีที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ จำนวน 100 คน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่าเป็นจำนวนราษฎรต่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ 1 คน

สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น มีชื่อในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี ถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดสมัครรับเลือกตั้ง เคยศึกษาในสถานศึกษาที่อยู่ในจังหวัดสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปีการศึกษา เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี

ส่วนลักษณะต้องห้ามส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับ กมธ.ยกร่างฯ โดยยังคงเน้นย้ำไปที่การห้ามรัฐมนตรี สส. สว. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มาสมัคร

ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ถูกกำหนดว่า เพื่อประโยชน์แห่งการขจัดส่วนได้เสีย ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 3 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง ส่วนสภาที่ปรึกษาฯ ถูกระบุว่า ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 2 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง

นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ และรัฐสภาจัดทำ และให้ความเห็นชอบ จะต้องมีเนื้อหาที่สำคัญ เช่น การรับรองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักรจะแบ่งแยกมิได้ การให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

รวมถึงการออกแบบสถาบันทางการเมือง ให้มีที่มายึดโยงกับประชาชน ประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลได้ และมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รวมถึงการจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐ การควบคุมมิให้องค์กรของรัฐใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ หรือขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน และการวางหลักเกณฑ์ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามฉันทามติของประชาชน หรือผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯ มีเวลา 270 วันนับแต่วันประชุมครั้งแรก เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญ เมื่อแล้วเสร็จให้เสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้ประธานสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ ให้มีการอภิปรายแสดงความเห็นโดยไม่มีการลงมติ และทำรายงานความเห็นของที่ประชุมร่วมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ กมธ.ยกร่างฯ แล้วเสร็จ

ให้ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และให้ประธานรัฐสภา จัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อออกเสียงลงคะแนนให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ประธานรัฐสภาได้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยรัฐสภาจะแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มิได้ ทั้งนี้กรณีรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ และกรณีที่รัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ให้ถือว่าร่างนั้นเป็นอันตกไป

ทั้งนี้กรณีรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญให้นายกฯ และ กกต.ภายใน 7 วัน เพื่อดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ โดยให้ กมธ.ยกร่างฯ จัดทำคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนเข้าใจเนื้อหาสาระได้โดยสะดวก และให้ กกต.มีหน้าที่ดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ และประกาศผล

กรณีผลออกเสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ประธานรัฐสภา ขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 30 วันนับแต่วันประกาศผลประชามติ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้บังคับได้ โดยให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในกรณีผลออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป

หลังจากร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ กมธ.ยกร่างฯ จัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ภายใน 180 วัน หลังจากนั้นจัดประชุมร่วมระหว่าง กมธ.ยกร่างฯ และสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อภิปราย โดยไม่ลงมติ ภายใน 15 วัน หลังจากนั้นให้ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ แก่ประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ ภายใน 15 วัน โดยรัฐสภาจะแก้ไขเนื้อหามิได้

กรณีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฉบับใดผ่านรัฐสภา ให้ทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน แต่กรณีร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ให้เป็นอำนาจหน้าที่รัฐสภา ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป

สำหรับ กมธ.ยกร่างฯ สิ้นสุดลงเมื่อมีจำนวน กมธ.อยู่ไม่ถึงครึ่ง หรือ กมธ.ยกร่างฯ จัดทำรัฐธรรมนูญไม่เสร็จใน 270 วัน หรือร่างรัฐธรรมนูญตกไป (จากกรณีรัฐสภาไม่เห็นชอบ หรือประชามติไม่ผ่าน) หรือจัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ไม่เสร็จใน 180 วัน เช่นเดียวกับสภาที่ปรึกษาฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาระสำคัญที่น่าสนใจในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนครั้งนี้ คือ การไม่ได้กำหนดคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ดังนั้นจึงเปิดช่องให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า รวมถึงอดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ แม้เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสิทธิไปเมื่อ 21 ก.พ.2563 แต่ปัจจุบันปี 2568 เลยระยะเวลามาแล้ว 5 ปี จึงมีสิทธิมาสมัครเป็น กมธ.ยกร่างฯ หรือสภาที่ปรึกษาฯ ได้

ขณะเดียวกันในเนื้อหาสำคัญของการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ถูกระบุว่า ให้ออกแบบสถาบันทางการเมืองที่ยึดโยงประชาชน ตรวจสอบถ่วงดุลได้ รวมถึงจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจรัฐ ควบคุมมิให้องค์กรของรัฐใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ น่าจะหมายถึงองค์กรอิสระต่างๆ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นน่าจับตาว่าในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะมีการจำกัดอำนาจ หรือตัดสิทธิใดของศาลรัฐธรรมนูญบ้าง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์