'พริษฐ์' ห่วง โมเดล สสร. ของ 'ภท.' ผูกขาดเสียงข้างมากแก้รธน.

"โฆษก ปชน." ติงร่างแก้ไขรธน. "ภท." ให้รัฐสภาเลือก "สรร." หวั่นผูกขาดเสียงข้างมาก แนะให้เปิดประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่านี้
ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงเนื้อหาของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งแก้ไขหมวด 15/1 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเตรียมเสนอและใช้โมเดล สสร. 40 ที่ให้รัฐสภาเป็นผู้คัดเลือกจากผู้สมัครของแต่ละจังหวัดๆ ละ1 คน ว่า ตนยังไม่เห็น แต่ทราบถึงรายละเอียด ซึ่งตนมีข้อสังเกตต่อทั้งฉบับแก้ไขของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยว่า ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ตราบใดที่ไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในโมเดลของพรรคเพื่อไทยที่ให้ประชาชนเลือกตั้งสสร. 200 คนก่อนให้รัฐสภาเลือก แต่อีกส่วนที่มาจากวิชาชีพนั้นประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลย ขณะที่พรรคภูมิใจไทยประชาชนไม่มีส่วนร่วมเลือกจึงอยากเห็นการมีส่วนร่วมของประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า การออกแบบวิธีการให้รัฐสภาคัดเลือก สสร. หรือ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องปิดความเสี่ยงของการกินรวบหรือผูกขาด ซึ่ง พรรคประชาชนออกแบบวิธีให้รัฐสภาคัดเลือกตัวแทนที่ประชาชนเลือกจำนวน 70 คนเหลือ 35 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกตามสัดส่วน สส. สว. และ พรรคการเมือง กล่าวคือ หากมีสมาชิกรัฐสภา 700 คน ให้หารกับจำนวนกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน จะเห็นได้ว่า สว.ต้องรวมกลุ่มกัน 20 คน เพื่อเสนอ กมธ. 1 คน ซึ่งจะไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทางการเมือง สามารถผูกขาดกระบวนการการคัดเลือกได้
“โมเดลที่เราเห็นของพรรคภูมิใจไทย และไม่แน่ใจว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นเช่นไร คือ การใช้วิธีการคัดเลือกโดยใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คิดง่ายๆคือ มีพรรคการเมืองหนึ่งมี สส. 200 คน จากการเลือกตั้งครั้งถัดไป แล้วมีสว. คิดคล้ายๆ 160 คน รวมเป็น 360 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา นั่นหมายความว่าสามารถผูกขาดเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็น สสร. หรือ คณะกรรมการยกร่าง” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าเหตุผลพรรคภูมิใจไทยเสนอโมเดลนี้เพราะต้องการป้องกันไม่ให้คนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ได้ นายพริษฐ์ กล่าวว่า โมเดลของพรรคประชาชนไม่ขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ ข้อความเบื้องต้นของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเขียนเพียงว่า ไม่ให้ประชาชนไปเลือกผู้ร่างโดยตรง ดังนั้นร่างของประชาชนและพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีส่วนไหนเขียนว่าให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง
“หากกังวลว่ามีคนไปต้องถามกลับว่าใครจะไปร้อง เพราะถ้าจะมีการไปร้องในระหว่างกระบวนการพิจารณาใน 3 วาระนี้ ต้องเป็นมติของรัฐสภา ต้องมีเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา ร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้า 3 พรรคการเมือง เห็นว่าโมเดลที่พิจารณากันอยู่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเหตุให้ไปร้อง จะไม่มีใครไปร้อง”นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าตามโมเดลของพรรคภูมิใจไทยจะทำให้ได้ สสร.สีน้ำเงินหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตน ไม่ต้องการให้ สสร. เป็นสีใดสีหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลว่าต้องทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้มากที่สุด และต้องไม่ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ไม่เช่นนั้นจะมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของเสียงข้างมากในสภา กลุ่มเสียงข้างน้อยจะไม่มีตัวแทนเลย อย่างไรก็ดีในรายละเอียดที่เสนอนั้นสามารถถกเถียงได้ในชั้นกรรมาธิการของรัฐสภา
เมื่อถามว่า สสร.สีน้ำเงิน กับ รัฐธรรมนูญ คสช. 60 กลัวอันไหนมากกว่ากัน นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ ตนคิดว่า สังคมไทยสามารถมีโมเดลในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ดีกว่าทั้งสองตัวอย่างนี้ได้ แน่นอนว่าประชาชนอาจเห็นไม่ตรงกัน แต่อย่างน้อยมีกติกาซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ดังนั้นหากผู้ที่เป็นคนยกร่างกติกา เป็นตัวแทนจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ตนคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้
เมื่อถามว่าหากโมเดลของพรรคภูมิใจไทยสามารถอธิบายได้ว่าสมาชิกรัฐสภาก็เป็นตัวแทนของประชาชนเหมือนกันเพราะมีสส.มาจากการเลือกตั้ง นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนมองว่าหากให้เป็นไปตามสัดส่วนจะปลอดภัยที่สุด เหมือนกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ที่ตามข้อบังคับอาจจะใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่เป็นที่เข้าใจตรงกัน ว่าควรมีตัวแทนของทุกฝ่าย
“ประเด็นของผม ไม่ได้อยู่ที่สส. จะมาคัดเลือก ประเด็นคืออยู่ที่คัดเลือกแบบไหน ถ้าใช้วิธีเกินกึ่งหนึ่ง มีความสุ่มเสี่ยง ที่จะทำให้ฝ่ายใดซึ่งเสียงข้างมากสามารถผูกขาดได้หมดเลย ซึ่งเราไม่อยากเห็น” นายพริษฐ์ กล่าว







