ยุทธศาสตร์ 3 ขา + 1 ‘น้ำเงิน’เร่งโต ‘แดง’แอนด์เดอะแก๊ง ดิ้นอยู่รอด

ยุทธศาสตร์ 3 ขา + 1 ‘น้ำเงิน’เร่งโต ‘แดง’แอนด์เดอะแก๊ง ดิ้นอยู่รอด

นอกจาก 3 กลไกอำนาจบริหารแล้ว กลไกองค์กรอิสระ ก็อาจเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญ ในการต่อรองให้นักเลือกตั้งย้ายค่ายมาสวามิภักดิ์ โดยมีเรื่องคดีเป็นเงื่อนไข ในยุค 2 น. เส้นใหญ่ คล้ายถูกถอดแบบจากยุค 3 ป. อย่างไรอย่างนั้น

KEY

POINTS

  • พรรคสีน้ำเงิน กำลังเร่งขยายฐานอำนาจผ่านยุทธศาสตร์ 3 ขา ความมั่นคง ท้องถิ่น คมนาคม
  • อีกปัจจัย +1 ถูกมองว่าคือกลไกองค์กรอิสระ
  • ขณะที่เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ กำลังอยู่ในภาวะดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด โดยพยายามหาบุคคลขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อฟื้นความนิยม

เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนขั้ว บรรดานักเลือกตั้งเลยต้องปรับตัวตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป เพื่อเกาะเกี่ยวโลดแล่นไปกับอำนาจรัฐบาล วลีที่ว่า เป็นฝ่ายค้านแล้วอดอยากปากแห้ง ทุกวันนี้ยังใช้ได้อยู่

นักการเมืองหลายกลุ่มก๊วน เลยเบนเข็มไปที่พรรคภูมิใจไทย เหมือนที่เคยติดสอยห้อยตามขั้วอำนาจเก่าในหลายยุคที่ผ่านมา ไม่ว่าใครขึ้นมา คนกลุ่มนี้ก็มีเหตุผลให้เข้าร่วมเสมอ

การที่ภูมิใจไทย แกนนำสำคัญของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ได้คุมมหาดไทย และคมนาคม 2 กระทรวงเกรดเอ ที่ต่อยอดฐานทางการเมืองได้เป็นอย่างดี เอาแค่ 2 กลไกอำนาจนี้ ก็เพียงพอจะดึงดูดใครต่อใครให้ย้ายเข้าบ้านน้ำเงินจนหัวกระไดไม่แห้ง

ทั้งยังต้องจับตา การแบ่งงานสำคัญหลังจากนี้ ไม่แคล้วจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของบิ๊กสีน้ำเงิน

บนเวทีพบปะชาวบ้านที่อ่างทอง และเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ศรีสะเกษ อนุทิน ประกาศเสียงดังฟังชัด ภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ

อนุทิน เองที่คุมกลไกฝ่ายปกครอง ก็มีโอกาสถ่างขามาคุมงานความมั่นคงทั้งหมด ทั้งทหาร ตำรวจ แบบเบ็ดเสร็จครบวงจร

เรื่องที่จะผ่องถ่ายภารกิจสำคัญนี้ให้รองนายกรัฐมนตรี จากพรรคอื่นดูแล คงไม่ทำกัน เว้นแต่หนึ่งในรองนายกฯ สายตรงบิ๊กบุรีรัมย์ อย่างโสภณ ซารัมย์ ที่นั่งรองนายกฯ โดดๆ ไม่ได้ควบกระทรวงไหน ความไว้ใจจากผู้มีอำนาจตัวจริงสีน้ำเงิน อาจเกลี่ยงานบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนมีสีให้ดูแลหรือไม่อย่างไร รวมถึงกระทรวงยุติธรรม อาจขึ้นตรงด้วยหรือไม่

ยุทธศาสตร์ 3 ขาแห่งอำนาจ ที่พอจะเห็นเค้าลางว่ารัฐบาลภูมิใจไทย อาจนำมาใช้ต่อยอดฐานการเมือง ได้แก่ กลไกความมั่นคง ท้องถิ่น และคมนาคม

รูปแบบคล้ายสมัย 3 ป. รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 3 พี่น้องจัดสรรอำนาจอย่างลงตัว ในช่วงแรก ป.ประยุทธ์ นั่งนายกฯ ดูแลภาพรวม ป.ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คุมความมั่นคง และ ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คุมท้องถิ่น มหาดไทย

ความได้เปรียบของสีน้ำเงิน คือเคยคุมกลไกคมนาคมมาแล้วยุค 3 ป. หลังเลือกตั้งปี 62 ช่วงนั้นกระทรวงหูกวาง สมัยศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเจ้ากระทรวง ถือว่าสะสมฐาน และขยายเครือข่ายอำนาจได้อย่างมาก เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พลังดูดมีประสิทธิภาพ 

การเลือกตั้งรอบต่อไป สีน้ำเงินมีของให้ใช้เต็มที่ ผ่านเกมบริหารจัดการอำนาจ ขุมข่ายเรื่องคน เรื่องกระสุน มีพร้อม หายห่วง พร้อมแผ่อิทธิพลทั่วทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง อีสาน และใต้ แต่ผลลัพธ์ยังต้องติดตามจะเข้าเป้ามากน้อยแค่ไหน

ในจังหวะน้ำเงินเร่งโต ทางค่ายแดงเพื่อไทย และอีก 2 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ทั้งประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ ก็อาจจะอยู่ในสถานะไม่ต่างกัน คือกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ด้วยการเฟ้นหาตัวบุคคลขึ้นมาชูโรงดึงความนิยม ด้วยการเสนอให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ

เพื่อไทย นอกจากมีชื่อ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีของเอม พินทองทา ชินวัตร ก็แว่วๆ ว่า ยังมีอีก 2 ชื่อ คนหนึ่งมีสายเลือดชินวัตร และอีกคน เป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย

ประชาธิปัตย์ หลังเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออกจากหัวหน้าพรรค ก็ดูเหมือนยังไม่มีชื่อใครที่เข้าตามากเท่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯคนที่27 ที่ได้รับเสียงสนับสนุน จากคนในพรรคและคนที่เคยร่วมงานกันมา

ส่วนรวมไทยสร้างชาติ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังมั่นใจในแนวทางการนำพรรค แม้องคาพยพจะแพแตก กระจายตัวไปคนละทิศละทาง

ทั้ง 3 พรรค ที่ต้องสู้กับตัวเอง เร่งหาจุดเปลี่ยน รีบฟื้นกระแสกลับคืน แม้จะยาก เพราะต่างก็ผ่านจุดพีคมาแล้ว ในแต่ช่วงที่ผ่านมา บางพรรคเดิมพันถึงขั้นเสี่ยงสูญพันธุ์ บางพรรคจากใหญ่อาจย่อไซส์เหลือแค่พรรคขนาดกลาง

การต่อสู้กับสีน้ำเงินที่ขยายอิทธิพลหลายพื้นที่ และปกคลุมไปยังหลายองค์กร ก็ยิ่งเพิ่มปัจจัยบั่นทอนความเข้มแข็งของคู่ต่อสู้ทางการเมืองไปโดยปริยาย

นอกจาก 3 กลไกอำนาจบริหารแล้ว กลไกองค์กรอิสระ ก็อาจเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญ ในการต่อรองให้นักเลือกตั้งย้ายค่ายมาสวามิภักดิ์ โดยมีเรื่องคดีเป็นเงื่อนไข ในยุค 2 น. เส้นใหญ่ คล้ายถูกถอดแบบจากยุค 3 ป. อย่างไรอย่างนั้น