'ทบ.' ชี้ เขตแดนที่ 42–43 เป็นไปตามกรอบ JBC จี้กัมพูชาหยุดบิดเบือน

'ทบ.' ชี้ เขตแดนที่ 42–43 เป็นไปตามกรอบ JBC จี้กัมพูชาหยุดบิดเบือน

"โฆษกกองทัพบก" ชี้ หลักเขตแดนที่ 42–43 เป็นไปตามกรอบ JBC พร้อมเรียกร้องเขมร ให้หยุดบิดเบือนความจริง และให้ชาวเขมร ที่รุกล้ำเขตไทยย้ายออกนอกพื้นที่ทั้งหมด

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการเผยแพร่ข้อมูลผ่านบัญชี Facebook Page ชื่อ “Royal Thai Army: Update” เมื่อ 19 ก.ย.  2568 โดยใช้แผนผังที่แสดงลักษณะภูมิศาสตร์และตำแหน่งหลักเขตแดน หมายเลข 42 และหมายเลข 43 ในพื้นที่หมู่บ้านไปรจัน  ซึ่งบิดเบือนว่า คณะผู้บริหารของสำนักงานเลขาธิการว่าด้วยกิจการพรมแดน ได้ลงนามยอมรับเส้นเขตแดนอย่างเป็นทางการ  ว่า เป็นข้อมูลจากเอกสารบันทึกผลการสำรวจร่วมไทย–กัมพูชา ในการค้นหาสภาพและที่ตั้งของหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 เอกสารลงนามโดย พ.อ.ชาคร บุญภักดี ผู้อำนวยการกองแผนและโครงการ กรมแผนที่ทหาร (ฝ่ายไทย) และ นายลาย เซียงลี ผู้อำนวยการกองเทคนิคและการสำรวจฯ (ฝ่ายกัมพูชา) โดยบันทึกฉบับนี้จัดทำขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พ.ศ. 2560 มีทั้งฉบับภาษาไทย กัมพูชา และภาษาอังกฤษเป็นเอกสารที่บันทึกขั้นตอนการค้นหาที่ตั้งที่ถูกต้องของหลักเขตแดนในภูมิประเทศ ซึ่งเป็นแผนที่แบบไม่เป็นทางการ เพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น ด้วยการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างจุดพิกัดต่างๆ ที่ได้มาให้ปรากฏเห็นเป็นเส้นจำลองให้เห็นเป็นภาพคร่าวๆ พอเป็นสังเขป ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อทราบพิกัดตำแหน่งทางภูมิศาสตร์แล้ว สามารถพล็อตพิกัดลงบนแผนที่ที่มีในท้องตลาดทั่วไปได้ จากพิกัดหนึ่งไปยังพิกัดหนึ่ง ก็จะสามารถมองเห็นภาพเส้นจำลอง หรืออาจเป็นเส้นสมมติที่เกิดขึ้นมาได้บนแผนที่ จึงไม่ใช่เรื่องบิดเบือนอะไรอย่างที่กล่าวหา

พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่าข้อมูลในเพจไม่ได้มีระบุยืนยันเป็นเส้นเขตแดน เพราะในระบบที่เป็นทางการ เรื่องเส้นเขตแดนนั้นจะอยู่ในกลไกของคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย–กัมพูชา (JBC) แต่สิ่งสำคัญที่ได้จากการดำเนินการสำรวจหลักเขตในอดีตที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายไทยได้ยึดหลักการทำงานตามกรอบของ JBC และข้อตกลง MOU 2000 เสมอมา แม้ว่าขั้นตอนในการสำรวจหลักเขตตาม TOR ปี พ.ศ. 2546 ของ JBC จะยังไม่สมบูรณ์ทุกขั้นตอน แต่พิกัดหลักเขตที่ 42 และ 43 รวมถึงหลักเขตอื่น ๆ ตามบันทึกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับนั้น สามารถใช้เฉพาะพิกัดตำแหน่งที่ได้ไปอ้างอิงใช้ประกอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ในเบื้องต้น

พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่าจากที่กัมพูชากล่าวว่า พื้นที่บ้านไปรจัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหลักเขตแดนเลขที่ 42 และ 43 เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในพื้นที่จริง” นั้น คำถามคือ แล้วประชาชนกัมพูชาเข้าไปรุกล้ำดินแดนของประเทศไทยไปไกลลึกขนาดนั้นได้อย่างไร จึงยิ่งชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลง MOU 2000 มาตลอดที่ผ่านมา เพราะในข้อตกลงฯ ระบุไม่ให้มีการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ในบริเวณที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนได้ ด้วยการขยายพื้นที่ชุมชนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ และรุกล้ำขยายจนออกนอกพื้นที่อ้างสิทธิ์เข้ามาในเขตไทย ตามที่ฝ่ายไทยได้ประท้วงและเรียกร้องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศได้อย่างชัดเจน

"ฝ่ายไทยปฏิบัติตามกลไก JBC และ MOU 2000 มาโดยตลอด จึงไม่จำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชาจะออกมาเรียกร้องให้ไทยดำเนินการในเรื่องนี้ สิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาควรแก้ไขคือ หยุดขยายชุมชนรุกล้ำดินแดนไทยซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU 2000 และแจ้งให้ชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเขตไทยย้ายออกนอกพื้นที่ ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้ประกาศไว้ รวมถึงหยุดการปลุกระดมจัดฉากให้เด็ก ผู้หญิง และพระสงฆ์ออกมาประท้วงรับหน้าแทน ส่งผลให้ความขัดแย้งร้าวลึกขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศ จึงเป็นฝ่ายกัมพูชาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น" โฆษกกองทัพบก กล่าว