สัญญาณบวกรัฐบาลอนุทิน 'ถือกุญแจ' แก้ไขรัฐธรรมนูญ

สัญญาณบวกรัฐบาลอนุทิน 'ถือกุญแจ' แก้ไขรัฐธรรมนูญ

พลันรายชื่อรัฐมนตรีรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล คลอดออกมา หลายคนปรามาส หลายคนเข้าใจ และก็ไม่เกินความคาดหมายของหลายคน รวมทั้งไม่มีเซอร์ไพรส์จากที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้มากนัก

อย่าง “เทพไท เสนพงศ์” อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้นิยามไว้สั้นๆ แต่จุกเจ็บถึงขั้วหัวใจว่า “ครม.อนุทิน 1 ยี้+เยี่ยม =ย้วย โปรดติตตามตอนต่อไป”

ขณะที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้กลายเป็น “ฝ่ายแค้น” ใน “ฝ่ายค้าน” ฝากสื่อไปถาม “พรรคประชาชน” หรือ “พรรคสีส้ม” ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ในเมื่อหน้าตาที่ปรากฏออกมาไม่ต่างจาก “บุรีรัมย์ โมเดล”

“พรรคเด็กเป็นหลัก พรรคที่เขาสนับสนุนส่งเสริมขึ้นมา ว่าคิดอย่างไร ที่ไปส่งเสริมสนับสนุนจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพรรคอะไร และสนับสนุนเขาขึ้นมา ถามว่าวันนี้เขาพอใจไหม เห็นมีคนที่ ป.ป.ช.ติดขัดอยู่ก็ยังมี ที่มีความเกี่ยวข้องกับหุ้นหรือบริษัทอะไรก็ไปดูเอา ดังนั้นต้องไปถามพรรคน้องๆ”

ส่วนที่เข้าใจ เพราะเห็นว่า “นายกฯหนู” อนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่มีทางเลือกมากนัก ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะไม่ใช่เสียงข้างมาก หากแต่ที่กล้าเสนอตัวแข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพร้อมจัดตั้งรัฐบาล เพราะได้เสียงสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไข เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อยุบสภาฯภายใน 4 เดือน จากพรรคประชาชน

รวมทั้ง ทาบทาม “กลุ่มก๊วนการเมือง” ที่พร้อมสนับสนุนจาก หลาย “พรรคการเมือง” และนี่เอง จึงต้องเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อเป็นการ “ตอบแทน” ตามคำชักชวนเข้าร่วม

แต่กระนั้น “ครม.อนุทิน” ยังพอมีดีอยู่บ้าง ก็ตรงที่ได้คนนอก ทั้งเทคโนแคต และซีอีโอ จากภาคเอกชน มาเสริมภาพลักษณ์ ทำให้หน้าตาไม่ถึงกับ “ยี้” จนดูไม่ได้เสียทีเดียว

นั่นคือ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการมือทำงาน ที่ได้รับการยอมรับ อย่าง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มาช่วยดูเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย

ไม่เพียงเท่านั้น “ครม.อนุทิน” ยังเสี่ยงที่จะถูกร้องตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรี จนเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ไม่ต่างจากอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และ “อดีตนายกฯอิงค์” แพทองธาร ชินวัตร เพราะเหตุว่ารัฐมนตรีบางคนอยู่ในเกณฑ์ “สีเทา” จนบางรัฐบาลไม่กล้าแต่งตั้ง เรื่องนี้อย่าลืมว่า “ฝ่ายแค้น” จองกฐินเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะเป้าใหญ่ก็คือ “อนุทิน” ที่อาจถูกร้องข้อหาแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติ ไม่ต่างจากกรณี “นายกฯเศรษฐา” เคยเจอมาก่อน

ส่วนฝ่ายค้าน ที่มีพรรคเพื่อไทย เพิ่มเข้ามา ถ้าดูจากท่าที “ภูมิธรรม” แกนนำเพื่อไทย ที่ต้องการให้พรรคประชาชนรับผิดชอบ หลัง “ครม.อนุทิน” หน้าตาไม่ต่างกับ “บุรีรัมย์ โมเดล” กรณีสนับสนุน “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ร่วมรัฐบาลและไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เห็นได้ชัดว่า ยากที่จะทำงานเข้าขา เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่นับในอดีตทั้งสองพรรคเคยมีความหลังฝังใจเรื่อง “ตระบัดสัตย์” ที่พรรคสีแดง ทำกับพรรคสีส้มอย่างเจ็บแสบ นั่นหมายถึง ฝ่ายค้าน ก็จะยังไม่เป็นเอกภาพเพียงพอที่จะถล่มรัฐบาลเสียงข้างน้อยจนอยู่ไม่ได้

ยิ่งถ้าฟังจาก “พริษฐ์ วัชรสินธุ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ยิ่งชัดเจนว่า ประเด็นตรวจสอบของพรรคประชาชน เน้นหนักไปที่การตรวจสอบติดตามสัญญาที่จะเป็นรัฐบาล 4 เดือน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าอยู่ในกรอบก็คงไม่กระทบรัฐบาล

“พริษฐ์” กล่าวถึงโฉมหน้า “ครม.อนุทิน” ว่า พรรคประชาชน ในฐานะฝ่ายค้านจะเริ่มต้นตรวจสอบรัฐบาลเวทีแถลงนโยบายรัฐบาลเป็นเวทีแรก โดยพรรคได้ตั้งทีม และเตรียมผู้อภิปรายไว้แล้ว แบ่งเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่

1. การตรวจสอบและติดตามการรักษาสัญญา ตามเงื่อนไขของข้อตกลงทางการเมือง และตรวจสอบกรอบเวลาการทำงานของรัฐบาลตามเงื่อนไข 4 เดือน รวมถึงรายละเอียดแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2. เดินหน้าตรวจสอบประเด็นที่สังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ทั้งกรณี ฮั้วส.ว. และ ที่ดินเขากระโดง ซึ่งขณะนี้มีทีมที่ถูกตั้งขึ้นมา นำโดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้รวบรวมข้อมูลและเตรียมอภิปรายในเรื่องดังกล่าว

3. ตรวจสอบนโยบายเฉพาะหน้าที่คิดว่ารัฐบาลชุดนี้จะผลักดัน ทำให้คุณภาพชีวิตและปากท้องของประชาชนดีขึ้น ทั้งเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการคนละครึ่ง รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้มีการใช้งบประมาณปี 69 เพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง หรือตนเอง ที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและประชาชน

4. ตรวจสอบความเหมาะสมของรัฐมนตรีที่ถูกแต่งตั้ง เพราะสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน

 เมื่อถามถึงการตรวจสอบเรื่องกัญชา “พริษฐ์” กล่าวว่า เป็นเรื่องในหมวดหมู่ที่ 2 ที่สังคมตั้งข้อครหา นอกจากเรื่องเขากระโดงกับฮั้วส.ว.แล้ว จะมีรายละเอียดถึงท่าทีของพรรคภูมิใจไทย ทั้งจุดยืนเรื่องนโยบายกัญชาและคดีการเมือง ซึ่งภายหลังนายอนุทิน เป็นนายกฯ หลายคนมีความกังวลเพราะจะเห็นว่ามีประชาชนหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับการประกันตัว รวมถึงการดำเนินคดีและจำคุกที่มีโทษสูง 10-20 ปี

และถามว่าให้คะแนนครม.ชุดใหม่เท่าไร “พริษฐ์” กล่าวว่า ไม่ให้ตัวเลข เพราะท้ายที่สุดคนที่ให้ตัวเลขได้ดีที่สุดคือประชาชน ทั้งนี้พรรคประชาชนจะเน้นการตรวจสอบรัฐบาลของนายอนุทิน เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ ความจริงใจของพรรคประชาชน

 ด้าน “อนุทิน” แม้ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา แต่แถลงนโยบายกับสื่อมวลชนไปเรียบร้อย หลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ (7 ก.ย.68)

กล่าวคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ลดรายจ่าย ค่าครองชีพ ค่าพลังงาน ค่าเดินทาง-ขนส่ง แก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย สร้างรายได้ ให้แก่ประชาชนและชุมชนท้องถิ่น

 ปัญหาความมั่นคง แก้ปัญหากรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ด้วยสันติภาพ ลดการสูญเสีย ยึดหลักการไม่เสียดินแดน เร่งชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ครอบคลุมทุกหลังคาเรือน

ปัญหาภัยธรรมชาติ จัดทำระบบเตือนภัย ป้องกันภัย เยียวยาฟื้นฟู ชดเชยค่าเสียหายอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที สมเหตุสมผล และเป็นธรรม

ปัญหาภัยสังคม ปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ การพนัน และการพนันออนไลน์ สร้างความร่วมมือกับเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ

นโยบายเหล่านี้ จากผลสำรวจของโพลบางสำนัก ถือว่า อยู่ในลำดับต้นๆความต้องการของประชาชน จึงนับว่าน่าจับตามองอย่างยิ่ง รัฐบาล “อนุทิน” จะทำได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นไปตามที่ตกลงกับพรรคประชาชนหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด(19 ก.ย.68) “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ค่อนข้างมั่นใจว่า รัฐบาลอนุทินจะทำตามเงื่อนไขสัญญา โดยเขากล่าวขณะร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากร เสวนาหัวข้อ “4 เดือนนี้ ชี้ชะตาการเมืองไทย”

จัดโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 19 ปี การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และครบรอบ 5 ปีการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงของกลุ่มเยาวชน 19 กันยายน 2563

 “ธนาธร” ตอบคำถาม การยุบสภาจะเกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 เดือนหรือไม่ ว่า เหตุเดียวที่ตนเชื่อว่าจะไม่มีวันที่ 121 คือการมีชีวิตรอดของภูมิใจไทยเอง ถ้าภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลอยู่ต่ออีก 6 เดือนหรือ 1 ปี ภูมิใจไทยจะได้อะไรและเสียอะไร แรงจูงใจทางการเมืองของภูมิใจไทยคือความต้องการปรับภาพลักษณ์ของตัวเอง ในอนาคตภูมิใจไทยต้องการเป็นพรรคใหญ่ ดังนั้น ถ้ามองในแง่นี้วิธีการของภูมิใจไทยจึงไม่ใช่การอยู่ต่ออีกเดือนหรือปี แต่คือการทำตามสัญญา เพื่อเป็นพรรคใหญ่แทนที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือเพื่อไทยสมัยก่อน ด้วยเหตุผลนี้ตนจึงไม่คิดว่าจะมีวันที่ 121

แน่นอนว่า ในทางเทคนิคอาจจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นได้ จนอาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นก็ต้องดูว่า การเลื่อนการยุบสภาออกไปมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ซึ่งการตื่นตัวของภาคประชาสังคมที่จะช่วยกันกดดันเรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำให้สัญญาที่คุณอนุทินให้ไว้ยังคงความศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้

“ธนาธร” กล่าวต่อว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนตั้งอยู่บนความเสี่ยงแน่นอน แต่ตนเชื่อว่าที่เพื่อนในพรรคประชาชนตัดสินใจเช่นนั้น ก็เพราะเห็นว่า ประตูที่จะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมีเพียงประตูนี้บานเดียว การเลือกของพรรคประชาชนครั้งนี้ จึงไม่ใช่การเลือกคนมีความรู้ความสามารถ ในอดีตทำอะไรไว้บ้าง หรือมีจริยธรรมหรือไม่ แต่ปัจจัยในการเลือกคือใครที่จะนำไปสู่การเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญได้มากกว่ากัน เมื่อเราไม่ได้ถือกุญแจแต่เขาเป็นคนถือกุญแจ ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนและรับความเสี่ยงกัน ถือเป็นการตัดสินใจเสี่ยงเพื่อหยิบกุญแจนั้นมาไขกลอนเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ หากกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญเดินไปถึงจุดที่มีการลงประชามติได้จริง การรณรงค์ประชามติก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ทุกคนเคยเจอบทเรียนมาแล้วในการประชามติรัฐธรรมนูญในปี 2559 แต่การประชามติครั้งนี้มีต้นทุนที่สูงกว่ามาก ถ้าแพ้ก็ไม่รู้จะกลับมาแก้อย่างไรได้อีก

ดังนั้น การบังคับให้การทำประชามติเกิดขึ้นพร้อมการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อให้มีคนใช้สิทธิให้มากที่สุดจึงมีความจำเป็นมาก ถ้าทำประชามติโดดๆ ไม่มีใครกลับบ้านไปลงประชามติแน่ ดังนั้น ถ้ากระบวนการผ่านไปถึงจุดนั้นจริงๆ ก็ต้องขอแรงทุกคนมาช่วยกันรณรงค์ให้เต็มที่ ร่วมการถกเถียง สื่อสารให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด ให้เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญให้มากที่สุด วางใจไม่ได้เด็ดขาดว่าจะผ่านโดยอัตโนมัติ

ฟังจาก “ธนาธร” เห็นได้ชัดว่า การตัดสินใจสนับสนุน “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี และยอมให้พรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่เข้าร่วม และไม่เอาตำแหน่งรัฐมนตรี มีเป้าหมายหลัก คือ เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่ง กุญแจสำคัญก็คือ “รัฐบาลภูมิใจไทย” ที่ตกลงรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน

เพราะฉะนั้น นอกจาก “อบัติเหตุ” อย่างไม่คาดฝัน พรรคประชาชนคงไม่ยอมให้รัฐบาล “อนุทิน” เป็นอะไรไปก่อนเปิดประตู่สู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ และยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ อย่างแน่นอน

ส่วน “อนุทิน” และภูมิใจไทย ก็อย่างที่ “ธนาธร” วิเคราะห์ โอกาสที่จะเป็นพรรคใหญ่แทนเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ เปิดกว้าง อยู่ที่พร้อมฉวยโอกาส หรือ ทิ้งมันไปเท่านั้นเอง