คดีฮั้ว สว.ลาม ‘ก๊กส้ม-พปชร.’ จับตาเกม ‘น้ำเงิน’ สางแค้น

การเปิดเผลใหม่ “คดีฮั้ว สว.” ไปยัง “ก๊กส้ม-พปชร.” หนนี้จึงน่าจับตามองว่า เป็นเกมยื้อเวลาของ “ก๊กน้ำเงิน” เพื่อเปิด “ดีลใหม่” เตรียมตัว “เอาคืน” ทบต้นทบดอก
KEY
POINTS
- คดีฮั้ว สว. ซึ่งเดิมพุ่งเป้าไปที่พรรคภูมิใจไทย (ก๊กน้ำเงิน) กำลังถูกสอบสวนโดย กกต. และดีเอสไอ โดยมีมติเสนอให้ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง 229 คน
- การสืบสวนกำลังขยายผลไปยังพรรคการเมืองอื่น โดยมีรายงานว่าอาจมีการตรวจสอบพรรคประชาชน (ก๊กส้ม) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในข้อหาลักษณะเดียวกัน
- การขยายผลของคดีถูกจับตามองว่าเป็นเกมการเมืองที่อาจเป็นการยื้อเวลา หรือเป็นความพยายามของ "ก๊กน้ำเงิน" ที่ขึ้นมามีอำนาจ เพื่อ "สางแค้น" พรรคการเมืองคู่แข่ง
“คดีฮั้ว สว.” กลับมาได้รับการจับตาจากสาธารณชนอีกครั้ง พลันที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงฝั่งฝันได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองหนนี้ หนีไม่พ้นการผลักดันของ พรรคประชาชน (ปชน.) ที่ตัดสินใจ “ผ่าทางตัน” ทางการเมือง ปิดช่องโหวตนายกฯคนนอก หวังนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือนตาม MOA ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดา “ด้อมส้ม”
อย่างไรก็ดีอีกมุมหนึ่ง “ก๊กส้ม” หนีไม่พ้นข้อครหา “อุ้มคนมีคดี” เนื่องจากการโหวตหนุน “ก๊กน้ำเงิน” ครั้งนี้ มีชนักปักหลังใหญ่ 2 กรณีด้วยกันได้แก่
1.กรณี ที่ดินเขากระโดง ที่ล่าสุด “กรมที่ดิน” ภายใต้กระทรวงมหาดไทย “เบรก” การเพิกถอนที่ดินเขากระโดง 995 แปลงกว่า 4 พันไร่ออกไป โดยอ้างว่ายังมีคดีล่าสุดค้างในศาลปกครอง ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้ฟ้องคดี โดยในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่ ตกอยู่ภายใต้การถือครองของเครือข่าย “ตระกูลชิดชอบ”
2.คดีที่ถูกจับตาอย่างมากในช่วงเวลานี้คือคดี “ฮั้ว สว.” ซึ่งมีแม่งาน 2 แห่งได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกันเป็นคณะกรรมการดำเนินการไต่สวนโดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง ชุดที่ 26 มีผลสรุปเบ็ดเสร็จ มีมติเสนอ กกต.เห็นควรดำเนินคดีต่อต่อผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 229 คน แบ่งเป็น สว. 138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายอีก 91 คนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 76 และ มาตรา 77 (1) โดยมีอย่างน้อย 20 คน ที่เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย บางคนเป็นระดับ “บิ๊กเนม-หัวแถว” ของ “ก๊กน้ำเงิน” ติดโผด้วย
อย่างไรก็ดีทาง “อนุทิน ชาญวีรกูล - บิ๊กเนมภูมิใจไทย” ได้ออกมาปฏิเสธหลายครั้งถึงเรื่องนี้ และยืนยันว่าพร้อมเข้าสู่กระบวนการไต่สวนอย่างยุติธรรม
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ชุดที่ 26 เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวเข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทำให้ได้รับเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม และขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า สว.ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ ในส่วนข้อกล่าวหานี้หากไปถึงชั้นการพิจารณาของที่ประชุม กกต.และมีมติเห็นพ้องด้วย ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อ กกต.ขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้
ทั้งนี้ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. ที่ตกปากยอมรับโดยดุษฎีว่า “ผมเป็นคนบุรีรัมย์” แต่ยืนกรานว่า ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ขอไม่พูดถึงคนอื่น ขอดูแลเฉพาะงานตัวเองว่าไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมายนั้น เปิดเผยขั้นตอนการตรวจสอบหลังจากนี้ว่า ตอนนี้สำนวน สว.อยู่ในชั้นเลขาธิการ ครบกำหนดในวันที่ 16 ก.ย.นี้ คิดว่า 3-4 วันก็จัดส่งอนุกรรมการวินิจฉัย มีเวลาอีก 90 วัน ก่อนจะส่ง กกต.ชุดใหญ่ พิจารณา
เท่ากับว่าผ่านมาแล้ว 3 วัน (ณ วันที่ 19 ก.ย.) สำนวนคดีฮั้ว สว.ในล็อต “ก๊กน้ำเงิน” เสร็จสิ้นกระบวนการ และอยู่ระหว่างเตรียมจัดส่งอนุกรรมการวินิจฉัยต่อ โดยจะมีเวลาอีก 90 วันนับจากนี้ หรือภายในเดือน ธ.ค. 2568 น่าจะมีแอ็คชั่นอะไรออกมา
ทว่า “คดีฮั้ว สว.” กลับเริ่มขยายผลบานปลายจาก “ก๊กน้ำเงิน” ลามมาไป “ก๊กอื่น ๆ” กันแล้ว โดยมีกระแสข่าวว่า กกต. อาจมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 27 ขึ้นมาไต่สวนเพิ่มเติมด้วย ประเด็นนี้ เลขาธิการ กกต.ให้สัมภาษณ์ว่า หากมีการพิจารณาในสำนวนแล้วเจอกลุ่มการกระทำผิดอื่นอีก โดยที่ไม่ได้อยู่ในสำนวนใดสำนวนหนึ่งเลย อาจจะมีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีความปรากฏขึ้นมาใหม่
ส่วนเรื่องที่สอบไปก่อนหน้านี้ มีการแยกเป็นสำนวน โดยเรื่องการเลือก สว. มีร้องเข้ามากว่า 500 เรื่อง พิจารณาเกือบจะหมดแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นพิจารณาของสำนักงาน กกต. ครบกำหนดการพิจารณาในวันที่ 16 ก.ย. 2568 เมื่อเทียบกับสำนวนอื่น หากพบการกระทำผิดอื่นอีกก็สามารถ ตั้งเป็นความปรากฏขึ้นได้อีก ส่วนผู้ที่กระทำผิด พบว่าเป็นผู้กระทำผิดกลุ่มเดิมแต่ขยายฐานความผิดใหม่ เนื่องจากตอนที่ร้อง ร้องเป็นฐานความผิดอื่น แต่เมื่อสอบแล้วพบว่ามีมูลและการกระทำผิดอย่างอื่นด้วย
“การตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดที่ 27 ขึ้นมา ไม่เกี่ยวกับการยื้อเวลาเพื่อช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่เกี่ยวข้องกับสำนวนก่อน สำนวนเดิมก็ว่ากันไปตามกรอบเวลา ตามขั้นตอน” แสวง บุญมี ระบุ
ขณะที่ “ดีเอสไอ” แม่งานอีกหน่วยงานหนึ่ง ดำเนินการสอบสวน “คดีฟอกเงิน-อั้งยี่” จากการกระทำผิดในการ “ฮั้ว สว.” โดยมีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วย สว.และ สว.เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด ทั้งนี้ การดำเนินการในลำดับต่อไป ดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกผู้สมัคร สว. 1,200 คน เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยสอบพยานไปแล้วไม่ต่ำกว่า 90 ปาก
ล่าสุด มีความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า “อธิบดีดีเอสไอ” มอบหมายให้ 3 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งเคยทำงานในคณะกรรมการฯ ชุดที่ 26 ไปนั่งเป็นคณะกรรมการฯ ชุดที่ 27 ซึ่งถูกแต่งตั้งมาเพิ่มเติมให้ตรวจสอบคดีฮั้ว สว.อีกสำนวนหนึ่ง เนื่องจากพบข้อมูล พยานหลักฐาน เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอื่นอีก โดยอ้างถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคประชาชน (ปชน.) โดยมีพฤติการณ์ทางคดีคล้ายคลึงกับกรณีพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ดีสำนักงาน กกต.ออกเอกสารปฏิเสธข่าวดังกล่าว ยืนยันว่า ในการประชุม กกต. ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 27 ตามที่มีการเสนอข่าวแต่อย่างใด ทว่ามิได้ปฏิเสธในข้อเท็จจริงว่า กกต.กำลังดำเนินการไต่สวน “คดีฮั้ว สว.” ที่ลามจาก “ก๊กน้ำเงิน” ยัง “ก๊กส้ม-พปชร.” เข้าแล้ว
ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเตรียมเลือก สว.ใหม่ ๆ จะเห็นพฤติการณ์ว่าแต่ละ “ก๊ก” ล้วนวางแผนเดินหมากเพื่อหวังกุมเสียงข้างมากใน “สภาฯสูง” แทบทั้งสิ้น ทว่าเป็น “ก๊กน้ำเงิน” ที่ได้รับชัยชนะไป ส่วนก๊กอื่น ๆ มีจำนวนหลักสิบเท่านั้น นั่นจึงทำให้การเข้าไปไต่สวนกรณีนี้ของ กกต.ดูจะมี “ความชอบธรรม” มากขึ้น
อย่างไรก็ดีในทางการเมือง ต่างรับรู้กันดีว่า ภายหลัง “ก๊กน้ำเงิน” เถลิงอำนาจ อาจมีการแผ้วทางไป “สางคดี” ที่เกิดปัญหาขึ้น นั่นคือการกำกับดูแล “ดีเอสไอ” หนึ่งในแม่งานดูแลคดีฮั้ว สว. กำกับดูแล “มหาดไทย” ซึ่งกำกับดูแล “กรมที่ดิน” ที่ชี้ขาดเพิกถอนโฉนด “เขากระโดง” ที่สำคัญยังมากบารมีล้นไปยัง “สภาฯสูง” อาจโหวตเลือก “สายตรง” เข้าไปนั่งในองค์กรอิสระคอยชี้ขาดคดี “ฮั้ว สว.” ได้อีกรอบ
ดังนั้นการเปิดเผลใหม่ “คดีฮั้ว สว.” ไปยัง “ก๊กส้ม-พปชร.” หนนี้จึงน่าจับตามองว่า เป็นเกมยื้อเวลาของ “ก๊กน้ำเงิน” เพื่อเปิด “ดีลใหม่” เตรียมตัว “เอาคืน” ทบต้นทบดอก จากที่เคยโดน “ก๊กแดง” เล่นงานจนเสียกระบวนท่าทางการเมืองไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหรือไม่?







