ลุ้นคดีม็อบ พธม.บุก NBT ปี 51 ศาลฎีกาเลื่อนอ่านไปบ่ายโมงครึ่ง

ลุ้นคำพิพากษา! คดี 'ม็อบ พธม.' บุก 'NBT' ปี 51 ศาลฎีกาเลื่อนอ่านไปบ่ายโมงครึ่ง เหตุมีจำเลย 1 คนป่วยติดเตียง 'เจ๊ปอง' เตรียมใจมาแล้ว พร้อมน้อมรับคำพิพากษา
KEY
POINTS
- ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT เมื่อปี 2551 จากช่วงเช้าเป็นเวลา 13.30 น.
- สาเหตุการเลื่อนเนื่องจากจำเลยหนึ่งในคดี คือ นายภูวดล ทรงประเสริฐ ป่วยติดเตียง ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้
- คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ อ 1033/2561 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม. ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) น.ส. อัญชะลี ไพรีรัก พิธีกรข่าวชื่อดัง นายภูวดล ทรงประเสริฐ นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นหัวหน้าสั่งการ บุกรุกสถานที่ราชการทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อปี 2551 จำเลยกับพวกที่ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วได้ร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุกจำเลยคนละ 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกา และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
อย่างไรก็ดี ในวันนี้จำเลยได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา 3 คน ยกเว้นนายภูวดล ทรงประเสริฐ ที่ไม่สามารถเดินทางมาได้ เนื่องจากป่วยติดเตียงอยู่ที่โรงพยาบาล โดยได้แถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวแก่ศาลแล้ว ศาลจึงได้หารือและเห็นว่า เห็นสมควรให้ภรรยาของนายภูวดลเดินทางมาแถลงข้อเท็จจริงต่อศาลในช่วงเช้าวันนี้ ก่อนที่ในเวลาต่อมา ศาลพิเคราะห์เห็นว่า เห็นสมควรว่าจะปรึกษาหารือกับผู้บริหารของศาลก่อน เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยจะนัดให้คู่ความมาพบอีกครั้ง ในเวลา 13.00 น.
อนึ่ง ในช่วงเช้า น.ส.อัญชลี และนายยุทธิยง เดินทางมาถึงศาลอาญาในเวลาประมาณ 08.40 น. และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เรามีเจตนาที่ไม่ไม่มีความจริง ตามที่เขากล่าวหา คิดว่ามันเป็นเงื่อนไข ของกาลเวลาของการเมือง มีผู้คนจำนวนมากมากันเป็นหมื่นเป็นแสน และคิดหลากหลายไม่เหมือนกัน ในฐานะที่ไม่ใช่แกนนำ แต่เป็นที่รู้จักของผู้คน เมื่อต้องทำหน้าที่ในการสื่อสาร ก็สื่อสารให้ทุกอย่างอยู่ในครรลองของกฎหมาย สื่อสารให้พลเมืองของคนในชาติ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง สื่อสารสิ่งเหล่านี้ไป และเป็นบทบาทของเรา ในสำนึกของเรา การที่อยู่ในบทบาทนี้ ก็จะเห็นผู้คนว่า การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการ ชุมนุมมีคนจำนวนมากอย่างที่เล่าให้ฟัง ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของความรับผิดชอบ ที่จะต้องสื่อสารให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด ให้เป็นกุศลต่อบ้านเมืองมากที่สุด ในทุกสถานการณ์นี่เป็นสำนึกที่พวกเรา เป็นและถูกหล่อหลอมมาด้วยชีวิต
เมื่อถามว่าผลการตัดสินในวันนี้จะสะท้อนภาพ ของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไรบ้าง นายยุทธิยง กล่าวว่า ขอไม่ตอบในประเด็นนี้ ตนไม่ค่อยเก่งทางการเมือง เก่งแค่ข่าวชาวบ้าน ถ้าเรื่องชาวบ้านตอบได้ เรื่องการเมืองไม่อยากตอบ แต่ได้เห็นว่าบ้านเมืองของ มีพัฒนาการแบบนี้ และเห็นอำนาจของการเมือง ทุกคนก็รู้ว่ากระบวนการได้มาซึ่งอำนาจเป็นอย่างไร กันบ้าง
เมื่อถามว่าการพิพากษาวันนี้จะมีผล ให้มวลชนออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายยุทธิยง กล่าวว่า เวลาเปลี่ยนไปแล้ว กาลเวลาเปลี่ยนไปแล้ว มวลชนต่างมีความสุขุมขึ้น มีความลึกซึ้งและเข้าใจขึ้น คงไม่มีผล แต่อาจรู้สึกผูกพันกันเป็นธรรมดา ในแง่ของการเคลื่อนไหว มวลชนต่างๆ ควรคิดว่าบริบทของสังคมเปลี่ยนไป สังคมไทยขณะนี้เข้าสู่คุณภาพที่สูงขึ้น สิ่งหนึ่งก็คือ เห็นความรักบ้านรักเมืองมากขึ้น จากสถานการณ์ของสงคราม ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำนึกของคนไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า
เมื่อถามว่าคาดหวังกับผลคำพิพากษาอย่างไรบ้างในวันนี้ นายยุทธิยง กล่าวว่า ต้องนึกถึงสิ่งที่ดีที่สุด ก็อยากกลับบ้านไปอยู่กับลูก ได้ทำกิจกรรมในชีวิตที่ควรจะได้ทำ เป็นธรรมดาของชีวิต บ้านคือที่ที่อบอุ่นที่สุด ถ้าได้กลับบ้านก็จะกลับไปทำงาน ได้กลับไปจัดรายการ คือที่ที่เราสะดวก
เมื่อถามว่าในคำฟ้องระบุว่าเราเป็นหนึ่งในผู้สั่งการ ให้บุกรุกสถานีในตอนนั้นจะโต้แย้งอย่างไร นายยุทธิยง มองว่า เป็นไปได้ตนคิดว่าคงไม่ใช่ เป็นธรรมดาที่คำฟ้องจะเขียนแบบนั้น ส่วนใหญ่เราก็จะต่อสู้ ในกระบวนการนิติธรรม
เมื่อถามต่อว่าจากพยานหลักฐานที่ผ่านมาเชื่อมั่นหรือไม่ว่าจะสามารถหักล้างกับข้อเท็จจริงได้ นายยุทธิยง กล่าวว่า น่าจะได้เพราะเราก็ทำเต็มที่ เสนอข้อเท็จจริงเต็มที่ในการต่อสู้ ในกระบวนการยุติธรรม
ส่วน น.ส.อัญชลี ให้สัมภาษณว่า ในวันนี้ตนได้เตรียมใจในการฟังคำพิพากษาของศาลมาแล้ว ไม่ว่าผลคำพิพากษาจะออกมาเป็นแบบใด ตนก็น้อมรับ ซึ่งที่ผ่านมาทีมทนายความก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แค่บอกศาลไปตามความเป็นจริงว่าทำอะไรมาบ้าง ตนยืนยันว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อส่วนรวมและสาธารณะ และตลอด 20 ปี ที่ผ่านมาตนเชื่อว่าประชาชนก็น่าจะเห็นความมุ่งมั่นแต่ก็จะไม่ไปเรียกร้องให้ทุกคนต้องคิดตามตนหรือมาเชื่อในสิ่งที่ตนทำ เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ความคิดและความตั้งใจของตนก็เหมือนกัน
เมื่อถามว่าถ้าเกิดคำพิพากษาของศาลในวันนี้ออกมาเป็นลบได้เตรียมตัวมาบ้างหรือยัง น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ในวันนี้ตนเตรียมพร้อมกับคำพิพากษาของศาลมาแล้ว ศึกษาว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างไร รวมทั้งเตรียมสุขภาพของตนเอง และเคยถามเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ของตนเองที่เคยเข้าไปอยู่ในเรือจำมาแล้วว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำเป็นอย่างไรบ้าง และตนยืนยันว่าในวันนี้มีกำลังใจที่ดีเป็นอย่างมาก รวมถึงเคลียร์งานให้เรียบร้อยไปแล้ว
เมื่อถามว่ามีคนนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายทักษิณ มองเรื่องนี้อย่างไรบ้าง น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ตนเห็นผ่านตามาเหมือนกันว่ามีคนนำเรื่องของตนไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายทักษิณ แต่ในส่วนตัวของตนเมื่อศาลเรียกให้มาก็มา เมื่อมีผลอย่างไรก็น้อมรับอย่างแน่นอน ทั้งนี้ในคดีนี้มีจำเลยบางคนที่เสียชีวิตไปแล้ว บางคนป่วยติดเตียง แต่ตนก็ไม่ได้ให้ทนายความเลื่อนคดีนี้แม้ตามกฎหมายจะขอเลื่อนได้ แต่ให้ทนายความไปทำเอกสารทางการแพทย์ว่ามีผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยให้ศาลพิจารณาว่าจะอ่านคำพิพากษาเลย เพราะตนมองว่าการเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปไม่มีประโยชน์
เมื่อถามว่าถ้าคำพิพากษษออกมาไม่เป็นคุณจะมีผลกับแกนนำที่ป่วยติดเตียงอย่าง นายภูวดล หรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ถ้าเกิดป่วยติดเตียงศาลจะวินิจฉัย อย่างเช่นกรณีของนายสมเกียรติที่เสียชีวิตไปศาลก็ได้จำหน่ายไปในชั้นอุทธรณ์แล้ว
เมื่อถามว่าในชั้นศาลฎีกาได้มีการขอศาลว่าจะขอให้ลงโทษสถานเบาหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่ได้มีการขอต่อศาลเลย แต่ได้เขียนไปแค่ว่าตนได้ทำอะไรไปในครั้งนั้นบ้าง ส่วนศาลจะเมตตาหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
เมื่อถามว่าในชั้นศาลฎีกาได้มีการยื่นหลักฐานอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่มีการยื่นหลักฐานอะไรแล้ว มีแค่การยื่นฎีกายอมรับด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น
เมื่อถามว่าคำตัดสินในวันนี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองหรือไม่ น.ส.อัญชลี กล่าวว่า ไม่ส่งผลเลย เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง ตนเป็นภาคประชาชน ตนมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับจิตใจเลย แต่ตนก็ยังคงคิดเหมือนเดิมไม่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาออกมาเป็นเช่นไร ถ้าเกิดคำพิพากษาในวันนี้เป็นลบก็จะไม่ส่งผลกับการออกมาเคลื่อนไหวของตนในอนาคตอย่างแน่นอน และตนก็ตั้งใจมาตลอดว่าอยากให้ทุกคนอยู่ในบ้านเมืองที่ดีและสังคมที่มีคุณภาพ







