ปชน.เจาะช่องโหว่ศาล รธน. โยนโมเดลใหม่ '2 คณะ' ร่างรัฐธรรมนูญแทน

'พริษฐ์' เจาะช่องโหว่คำวินิจฉัยศาล รธน. โยนหินโมเดลร่าง รธน.ใหม่-กฎหมายลูก ใช้ 'คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ-คณะผู้แทนประชาชน' ดำเนินการแทน ขีดกฎห้ามเล่นการเมือง 5 ปี
KEY
POINTS
- พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอโมเดล "2 คณะ" เป็นทางออกในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
- โมเดลดังกล่าวประกอบด้วย "คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ" 35 คน ที่รัฐสภาคัดเลือกจาก 70 คนที่ประชาชนสรรหา และ "คณะผู้แทนประชาชน" 100 คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
- คณะผู้ร่างฯ มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่คณะผู้แทนประชาชนทำหน้าที่รับฟังและสะท้อนความเห็นจากประชาชน เพื่อให้กระบวนการยังคงยึดโยงกับประชาชน
- ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำเสร็จแล้วจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนนำไปทำประชามติ
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) จัดทำข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ว่า ข้อเสนอ โมเดล “2 คณะ” (คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ & คณะผู้แทนประชาชน) กลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ยังคงยึดโยงกับประชาชน ในวันที่สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง อาจไปต่อได้ยากเพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
นายพริษฐ์ ระบุว่า พรรคประชาชนยืนยันว่าเป้าหมายสำคัญในการแก้ไขปัญหาประเทศควบคู่ไปกับการฟื้นฟูความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทางเราเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้มากที่สุด หากถูกจัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน - เมื่อปลายปี 2567 เราจึงได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ที่เสนอให้มีกลไกดังกล่าว โดยมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน (แบ่งออกเป็น 100 คน ที่เลือกตั้งแบบแบ่งเขตจังหวัด และอีก 100 คน ที่เลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อระดับประเทศ)
อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายตีความว่าเป็นการปิดประตูสู่การมีสภาร่างรัฐธรรมูญที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้พรรคประชาชนต้องทบทวนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ที่ได้ยื่นไป แม้ตนยืนยันว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวมีปัญหาทั้งในเชิงกระบวนการที่เป็นการตอบเกินคำถาม และในเชิงเนื้อหาสาระที่ผมมองว่าขัดกับหลักการว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน แต่โจทย์ที่สำคัญสำหรับพรรคประชาชน ณ เวลานี้ คือเราจะทบทวน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 และกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อย่างไร ที่ยังคงความยึดโยงกับประชาชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ไม่เสี่ยงจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง”
นายพริษฐ์ ระบุอีกว่า ขอลองเสนอนำเสนอกลไกดังต่อไปนี้ ที่ผ่านการหารือเบื้องต้นกับภาคส่วนต่างๆของพรรคประชาชน ออกแบบให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผ่าน 2 กลไก
1. “คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มีหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำเสนอต่อรัฐสภา (เสมือนกับเป็น “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ”)
2. “คณะผู้แทนประชาชน” ที่มีหน้าที่ในการรับฟังความเห็นประชาชน และสะท้อนต่อคณะผู้ร่าง (เสมือนกับเป็น “สภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ”)
“คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” มี 35 คน โดยให้ประชาชนสรรหามาก่อน 70 คน (2 เท่า) ผ่านการเลือกตั้ง ได้แก่
ให้ผู้สมัครที่สนใจ สมัครเป็นทีม (ทีมหนึ่งมีได้ไม่เกิน 70 คน โดยเรียงลำดับเหมือนผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่อ)
อาจกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมได้ ว่าผู้สมัครจะต้องมีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญด้านใด
ให้ประชาชนเลือก 1 ทีม ที่ตนอยากสนับสนุน โดยใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
ผู้ได้รับการสรรหา 70 คน ให้คำนวณโดยใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ (เช่น หากทีม ก. ได้คะแนนเสียง 10% ของคะแนนทั่วประเทศ ทีม ก. จะมีผู้ได้รับการสรรหา 7 คน (10% ของ 70 คน) โดย ผู้สมัครในบัญชีรายชื่อของทีม ก. ในลำดับที่ 1-7 จะได้รับการสรรหา)
เมื่อได้รายชื่อที่ประชาชนเลือกมาแล้ว 70 คน ให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน ที่จะมาทำหน้าที่คณะผู้ร่าง
ในเชิงการเมือง เราคาดหวังให้สมาชิกรัฐสภาคัดเลือก 35 คน จาก 70 คน โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง
ในเชิงกฎหมาย เราอาจกำหนดให้สมาชิกรัฐสภามีโอกาสเสนอชื่อหรือคัดเลือกคณะผู้ร่าง ตามสัดส่วน สส. สว. หรือ พรรคการเมือง
“คณะผู้แทนประชาชน” มี 100 คน โดยให้ประชาชนเลือกทางตรงทั้งหมด ผ่านการเลือกตั้ง:
ให้ผู้สมัครที่สนใจ สมัครเป็นรายบุคคล
อาจกำหนดคุณสมบัติให้เปิดกว้างที่สุด เพื่อให้เรามีตัวแทนที่มีความหลากหลายและครอบคลุมทุกกลุ่ม
ให้ประชาชนเลือก 1 คน ที่ตนอยากสนับสนุน โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (แต่ละจังหวัดจะมี “ผู้แทนประชาชน” 1-5 คน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร)
ผู้ได้รับการเลือกตั้ง 100 คน ให้คำนวณจากผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละจังหวัด ตามจำนวนผู้แทนที่แต่ละจังหวัดมี (เช่น หากจังหวัด ก. มีผู้แทน 2 คน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งคือผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับที่ 1-2)
ในระหว่างที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ซึ่งอาจถูกกำหนดไว้ที่ 6-12 เดือน) ให้ทั้ง 2 คณะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และมีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ โดย “คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” จะมีหน้าที่ชี้แจงความคืบหน้าของร่าง ในขณะที่ “คณะผู้แทนประชาชน” จะมีหน้าที่ซักถามและสะท้อนความเห็นประชาชนต่อร่างที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
เมื่อยกร่างเสร็จแล้ว ให้คณะผู้ร่างนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปเสนอต่อรัฐสภา
หากรัฐสภาเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวเป็นอันตกไป โดยหากจะมีการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการเลือก 2 คณะชุดใหม่ขึ้นมาตามกระบวนการเดิม
เราอาจกำหนดเพิ่มเติมให้การทำงานของ 2 คณะ ไม่จำกัดอยู่แค่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ให้ครอบคลุมถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย โดยอาจเริ่มต้นทันทีที่ประชาชนลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อประหยัดเวลาและป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
เราอาจกำหนดเพิ่มเติม ให้บุคคลที่ทำหน้าที่ใน 2 คณะ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง (เช่น สส. / สว. / รัฐมนตรี / ผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น / ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ / ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ) ภายใน 5 ปีแรก เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
กำหนดให้ 2 คณะที่ตั้งขึ้นมาแล้ว สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ โดยไม่ถูกกระทบจากการยุบสภาฯ หรือ จากการที่สภาฯหมดวาระ เพื่อความต่อเนื่องในการทำงาน และของกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
"ทางผมจะเป็นตัวแทนพรรคประชาชน ในการนำเสนอโมเดลนี้ในการประชุม กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ในวันพฤหัสบดี (พรุ่งนี้) เพื่อหารือและรับฟังความเห็นจากพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย กมธ. พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา นักวิชาการ และตัวแทนภาคประชาชน ท่านใดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ร่วมกันแชร์ความเห็นกันเข้ามาได้เลยครับ" นายพริษฐ์ ระบุ
ภาพและข้อมูลจาก: พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu







