คุก 1 ปี ‘ชัยวัฒน์’ ผิด ม.157 - รอดฮั้ว คดีก่อสร้างอาคาร ‘ห้วยคมกฤต’

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 7 พิพากษาจำคุก 1 ปี ‘ชัยวัฒน์’ อดีต ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติฯ ผิดแค่ ม.157 ปมสร้างอาคาร ‘ห้วยคมกฤต’ แต่รอดฮั้ว เจ้าตัววาง 3 แสนได้ประกัน เอกชนรอดทั้งพวง
KEY
POINTS
- ศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค 7 พิพากษาจำคุกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เป็นเวลา 1 ปี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
- ความผิดเกิดจากการตรวจรับรองงานก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต ทั้งที่การก่อสร้างไม่ตรงตามแบบ และใช้วัสดุราคาถูกกว่า ทำให้กรมอุทยานฯ ได้รับความเสียหาย
- ศาลยกฟ้องข้อหาตกลงร่วมกันในการเสนอราคา (ฮั้วประมูล) เนื่องจากคดีขาดอายุความ 10 ปี
- จำเลยที่เหลืออีก 6 คนได้รับการยกฟ้อง โดยศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายชัยวัฒน์ ระหว่างอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2568 ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบภาค 7 อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.65/2567 ที่อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 7 คน (ยื่นฟ้องเมื่อเดือนพ.ค.2567) ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4, 12 กรณีกล่าวหาว่า โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมิชอบ
โดยจำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 6 และที่ 7 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ ในส่วนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4-7 และความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ในส่วนของจำเลยที่ 2-7 นั้น โจทก์จะต้องฟ้อง และได้ตัวผู้กระทำผิดฐานต่างๆ ดังกล่าวมายังศาลภายในกำหนด 10 ปีนับแต่วันกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3) ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่วันกระทำความผิด คดีความผิดฐานต่างๆ ข้างต้นจึงขาดอายุความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับความผิดฐานดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) แม้จำเลยทั้งเจ็ดจะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6
ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด (แห่งที่หนึ่ง) จำเลยที่ 6 หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด (แห่งที่สอง) ที่ 7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 6 หรือที่ 7 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น
ในส่วนของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ทางไต่สวนได้ความว่าจำเลยที่ 4-5 มีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 6-7 แต่มิได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารงานของจำเลยที่ 6-7 ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือ นายสนอง โดยจำเลยที่ 4-5 ให้การ และนำสืบทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้เห็น และไม่ทราบเรื่องที่นายสนองอนุญาตให้นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 ไปซื้อซองประกวดราคา เข้าเสนอราคา และทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท ทั้งมิได้เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว
สอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่จำเลยที่ 4-5 ขอให้ศาลส่งหนังสือมอบอำนาจที่ระบุว่าจำเลยที่ 4-5 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 4-5 ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นว่าลายมือชื่อผู้มอบอำนาจเปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของจำเลยที่ 4-5 ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน
และเจือสมกับที่พยานโจทก์ปากนางสาวอัญชลี ได้ให้การ และเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 4-5 ไม่เคยสั่งให้พยานทำ รับมอบหรือส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับโครงการพิพาท ทั้งนางนฤมล ซึ่งเป็นบุตรสาวนายสนองก็ให้การ และเบิกความทำนองว่าเพิ่งมาทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนางสาวอัญชลี และนายสนอง ภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าจำเลยที่ 4-5 ทราบเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำ
ส่วนจำเลยที่ 1-2 และที่ 6-7 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์ให้การ และเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนายสนอง นำไปเป็นผู้เสนอราคาในการประกวดราคาก่อสร้างโครงการพิพาท โดยจำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปซื้อซองเอกสารประกวดราคาพร้อมแบบแปลนอาคาร ยื่นเอกสารประกวดราคา และเข้าร่วมเสนอราคาในนามของจำเลยที่ 6-7
และสั่งการให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แทนจำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 6-7 มิได้มีเจตนาที่จะเข้าเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาทมาตั้งแต่แรก และมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทตามสัญญาแต่อย่างใด แต่จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ติดต่อหาช่างมาดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทแทน
และให้ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาดังกล่าวสั่งซื้อวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการพิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ซึ่งเป็นห้างในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 6-7 โดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อ เมื่อสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้าง และโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6 จึงนำเงินที่ได้รับดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ค่าวัสดุที่มีการสั่งซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ และคืนเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 2 นำไปจ่ายเป็นค่าแรงให้แก่ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาต่อไป
เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-2 และที่ 6-7 ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่จำเลยที่ 6 หรือที่ 7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่อย่างไรก็ดีสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนายสนอง เชื่อว่าเป็นเพราะไม่มีผู้สนใจเข้าเป็นผู้เสนอราคา และจำเลยที่ 1 เกรงว่างบประมาณที่ได้รับจะตกไปทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการพิพาทได้
จำเลยที่ 1 จึงขอให้นายสนองช่วยเหลือโดยขอใช้ชื่อห้างของนายสนองมาเป็นผู้เสนอราคา โดยจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการใดอันเป็นการกีดกันมิให้ผู้อื่นเข้ามาเสนอราคา หรือเอาเปรียบกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่อย่างใด และเมื่อการประกวดราคาโครงการพิพาทมีผู้เสนอราคาเพียง 2 ราย คือ จำเลยที่ 6 และที่ 7 เท่านั้น
โดยจำเลยที่ 6 และที่ 7 เป็นบริษัทในเครือเดียวกันจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องแข่งขันราคากัน แต่เหตุที่ต้องใช้ชื่อจำเลยที่ 6 และที่ 7 เข้าเป็นผู้เสนอราคา น่าจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นผู้เสนอราคาเดียว ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาอาจเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการให้ยกเลิกการประกวดราคาได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ข้อ 51 ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาหรือความมุ่งหมายที่จะมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการประกวดราคาโครงการพิพาท
พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ เมื่อจำเลยที่ 1 ตัวการไม่มีความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 2 ที่ 6-7 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย
ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือไม่นั้น
เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการพิพาท มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียด และข้อกำหนดในสัญญา เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้อง ครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว ก็ต้องทำใบรับรองผลการปฏิบัติงานเพื่อเบิกจ่ายเงินตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง แล้วรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียด และข้อกำหนดในสัญญาก็ต้องรายงานหัวหน้าส่วนราชการผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อทราบ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ 72 (1) (4)
พยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อหาช่างมาดำเนินโครงการพิพาท และให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงานฝ่ายผู้รับจ้าง โดยจำเลยที่ 1 มิได้เข้าไปควบคุมงานด้วยตนเอง เมื่อมีปัญหาข้อขัดข้องไม่สามารถก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุนายรุ่งจะสอบถาม และดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องไปตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 แจ้งปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบด้วยหรือไม่
จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยที่ 1 เข้าไปตรวจการจ้างโครงการพิพาท จำเลยที่ 1 อาจไม่เห็นงานก่อสร้างโครงการพิพาทที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุในส่วนรายการที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ในส่วนของงานฐานราก เป็นต้น
แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่นายสัมฤทธิ์ และนายรุ่งต่างให้การ และเบิกความสอดคล้องกันว่า นายรุ่งก่อสร้างโครงการพิพาทไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุซึ่งสามารถตรวจสอบ และมองเห็นได้ด้วยตาหลายรายการ อาทิ ในส่วนอาคารที่ทำการ ตามบัญชีแสดงปริมาณวัสดุระบุโครงสร้างหลังคา เช่น อกไก่ จันทัน แป อะเส ตะเฆ่ ฯลฯ เป็นไม้เนื้อแข็ง และตามแบบรูปรายการระบุเป็นไม้แต่กลับมีการก่อสร้างโดยใช้เหล็กรูปพรรณแทนไม้เนื้อแข็ง
ในส่วนงานมุงหลังคา ไม่พบรางน้ำฝนรอบอาคารที่ทำการตามที่กำหนดในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ในส่วนโถส้วมของอาคารที่ทำการ และบ้านพักคนงาน ขนาด 4 ครอบครัว (แบบแยกหลัง) ตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุที่กำหนดให้มีโถส้วมเป็นแบบนั่งราบมีถังเก็บน้ำ (ฟลัชแท็งก์) รุ่นประหยัดน้ำ 6 ลิตร แต่นายรุ่งกลับใช้โถส้วมเป็นแบบนั่งราบราดน้ำ
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหา และเบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 เดินทางไปตรวจสอบงานก่อสร้างว่าผู้รับจ้างปฏิบัติงานถูกต้องเป็นไปตามแบบรูปรายการหรือไม่ จำเลยที่ 1 ย่อมจะต้องเห็นงานก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามสัญญามิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท และนายรุ่งมิใช่ผู้รับจ้างช่วงจากจำเลยที่ 6 การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงานจ้างโครงการพิพาท และลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจการจ้าง และรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่า “คณะกรรมการตรวจการจ้าง ได้พร้อมกันตรวจการจ้างเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2557 แล้ว
ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจัดท่ายางคอนสตรัคชั่น ผู้รับจ้าง ได้ทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ พร้อมอาคารประกอบ จำนวน 1 หน่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถูกต้องตามสัญญาจ้างเลขที่ 22/2556 ลงวันที่ 16 กันยายน 2556 งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 10 (งวดสุดท้าย) เป็นเงินจำนวน 3,527,000 บาท ....” จึงเป็นการรายงานเท็จ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างทำนองว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือรัฐได้รับความเสียหาย และไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารายการวัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุมีราคาถูกกว่ารายการตามที่ระบุในแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ทั้งจำเลยที่ 6 มิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงานจ้างโครงการพิพาท และลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจการจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างข้างต้น เพื่อเป็นหลักฐานให้สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้าง 3,499,037.38 บาท ให้แก่จำเลยที่ 6 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และเป็นผลให้จำเลยที่ 6 ห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ หรือร้านท่ายางค้าไม้ และนายรุ่ง ได้รับประโยชน์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) ด้วย
พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี 6 เดือน
คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2-7 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ทั้งนี้ ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์ โดยศาลตีราคาหลักประกันในวงเงิน 300,000 บาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







