ละเอียด! ชำแหละพฤติการณ์ ‘เจ๋ง ดอกจิก-ศรีสุวรรณ’ คดีรีดทรัพย์

ละเอียด! เปิดคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ชำแหละพฤติการณ์ ‘เจ๋ง ดอกจิก-ศรีสุวรรณ’ พร้อมพวกรวม 5 คน โดนคุกหนัก คดีข่มขู่ขืนใจ รีดทรัพย์ ‘อธิบดีกรมการข้าว’ 1.5 ล้านบาท
KEY
POINTS
- ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาในคดีที่นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” กับพวกรวม 5 คน ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินจากอธิบดีกรมการข้าว
- ศาลวินิจฉัยว่า “เจ๋ง ดอกจิก” มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
- หลักฐานสำคัญที่ยืนยันสถานะคือการเข้าร่วมประชุมคณะทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีป้ายชื่อและพยานยืนยัน รวมถึงการโพสต์เฟซบุ๊กของเจ้าตัวเอง
เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ อท 182/2/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อุท 160/2568 โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 โจทก์ยื่นฟ้องนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน จำเลย กรณีเรียกรับทรัพย์สินอธิบดีกรมการข้าว ข้อหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 309 วรรคสอง, 337
โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้า ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 , 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 337 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ตามคำสั่งของรองนายกรัฐมนตรี ที่ 9/2566 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ได้รับการแต่งตั้งขึ้นในสำนักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นส่วนราชการ และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 258/2566 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2566 โดยได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคณะทำงานดังกล่าวจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และอยู่ในคำนิยามความหมายเจ้าพนักงานของรัฐ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐนั้น ได้ความจากการไต่สวนว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 พร้อมเงินสด 500,000 บาท ที่บ้านของจำเลยที่ 2 ซึ่งในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าร่วมประชุมคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 ที่จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อรับฟังนโยบายการปฏิบัติงานในฐานะคณะทำงานดังกล่าวจากรองนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยที่ 1 เข้าประชุมดังกล่าวมีป้ายแสดงสถานะของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่าเป็นคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11
ซึ่งนาง น. เลขานุการคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 นาย ช. ประธานคณะทำงานเขตตรวจราชการที่ 11 นางสาว ส. ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและนาย ส. เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ต่างยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าร่วมประชุมรับฟังการมอบนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีดังกล่าว และผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมรับฟังนโยบายจากรองนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นคณะทำงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างเห็นว่า โดยเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด ทำคลิปเสียง, คลิปภาพ , ข้อความแชทในแอพพลิเคชัน LINE และหมายเลขธนบัตรที่นำไปมอบให้นายศรีสุวรรณ จำเลยที่ 2 ที่บ้านพักนั้นเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงินให้แก่พวกจำเลยในวันเกิดเหตุ
นอกจากนี้โจทก์ได้อ้างคลิปบันทึกภาพและเสียง 40 คลิป จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วไม่มีการตัดต่อ และจำเลยที่ 1-3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าคลิปและภาพดังกล่าวเป็นความจริง และคลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและภรรยาเบิกความ จึงมีน้ำหนักรับฟัง น่าเชื่อถือโดยเฉพาะเรื่องที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาว่า กรมการข้าวมีการทุจริตและจะทำการตรวจสอบ ก่อนจะโทรกลับหาผู้เสียหายพูดจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง โดยจำเลยที่ 2 ให้เหตุผลว่าจะพิสูจน์ว่าผู้เสียหายไม่มีความผิด และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้โทรหาภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน แต่ต่อรองจนเหลือราคา 1.5 ล้านบาท จากเดิม 3 ล้านบาท และขอให้จ่ายก่อนปีใหม่
นอกจากนี้มีหลักฐานจากบทสนทนาในแอพลิเคชั่นไลน์ถึงการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง โดยเป็นการสนทนาระหว่างจำเลยที่ 3 ที่เป็นเลขาฯของจำเลยที่ 1 และยังมีการเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทั้งบทสนทนาและหลักฐานการโอนเงิน รวมทั้งในวันที่ 26 มกราคม 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงินจำนวน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติก มาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านของจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้าน โดยหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำอันมีลักษณะปกปิดและมีพฤติกรรมน่าสงสัย เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 ทราบว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยทั้งห้า เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ
จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน และชื่อเสียงของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่ 3 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอม ต้องกระทำการนั้นหรือไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ
ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่อาจลงโทษจำเลย 2-5 ในฐานะเป็นตัวการในการกระทำความผิดได้ อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยที่ 2-5 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการทำผิด จึงต้องรับผิดฐายเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 เห็นจำเลยทั้งหมดกระทำความผิดตามฟ้องจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง 3 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา172 173 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง 337 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 าตรา172 และ 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 86
การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและจำเลยที่ถึงที่ ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 6 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จำคุกคนละ 4 ปี บวกโทษจำคุก 2 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขดำที่อ2283/2565 หมายเลขแดงที่ อ3002/2566ของศาลอาญามีนบุรี และบวกโทษจำคุก 2 เดือนในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ228/2565 หมายเลขแดงที่ อ3003/2566 ของศาลอาญามีนบุรี เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี 4เดือน นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ อ2542/2553 คดีหมายเลขแดงที่อ2076/2562ของศาลอาญา
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่3127/2566ของศาลอาญา เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ริบเงิน 160,000 บาท ที่จำเลยทั้งห้าได้มาจากการกระทำความผิดตามฟ้องโดยให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาหากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนเพราะเหตุว่าโดยสภาพของสิ่งที่ศาลจะสั่งริบหรือได้สั่งริบไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการจำหน่ายจ่ายโอน สิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำโดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่น
ให้จำเลยทั้งห้าร่วมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวหรือต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่)บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปีตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 33
ต่อมาทนายความจำเลยทั้ง 5 รายได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งห้าระหว่างอุทธรณ์คดีโดยตีราคาประกันคนละ 6 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทุกคนเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล







