พายุกระหน่ำ ‘ระส่ำสีฟ้า เกมลึก ‘อภิสิทธ์’ ผู้นำตัวจริง?

“เกมลึก” ในค่ายสีฟ้า ที่อาจต้องลุ้นกันอีกหลายขั้นหลายตอน ชื่อของ “อภิสิทธิ์” จะใช่ผู้นำพรรคตัวจริง หรือที่สุดจะเป็นแต่ตัวหลอก
KEY
POINTS
- พรรคประชาธิปัตย์ กำลังเผชิญความระส่ำระสายหลังการลาออกของหัวหน้าพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน ท่ามกลางกระแสข่าวความขัดแย้งภายใน
- มีการเสนอชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรค ให้กลับมากอบกู้วิกฤติศรัทธาของพรรคที่กำลังตกต่ำ
- การเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ถูกมองว่าเป็น "เกมลึก" ที่อำนาจชี้ขาดอยู่ที่กลุ่ม สส. ปัจจุบัน และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในขั้วอำนาจเดิม
- เกิดคำถามว่าการผลักดันชื่อ "อภิสิทธิ์" เป็นการเสนอชื่อ "ผู้นำตัวจริง" หรือเป็นเพียงตัวหลอกในเกมชิงอำนาจ เนื่องจากแนวทางของเขาอาจขัดกับขั้วอำนาจปัจจุบันในพรรค
- มีอีกกระแสหนึ่งชี้ว่าหัวหน้าพรรคคนใหม่อาจยังคงเป็นคนใน "อำนาจเก่า" โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจเป็น เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค
- อนาคตของพรรค และตำแหน่งผู้นำตัวจริงขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะสามารถช่วงชิงเสียงสนับสนุนจาก "โหวตเตอร์" ภายในพรรคได้สำเร็จ
ความระส่ำระสายในพรรคสีฟ้า หลังการลาออกของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังรับตำแหน่งได้ไม่ถึง 2 ปี
แม้เบื้องหน้า เจ้าตัวจะระบุในหนังสือลาออก อ้างปัญหาเรื่องสุขภาพ สอดคล้องกับที่ “หัวหน้าต่อ” เคยเปรยกับสมาชิกพรรค รวมถึงสื่อประจำพรรคก่อนหน้านี้ ในทำนองว่า ในอนาคตหากมีผู้ที่มาทำหน้าที่แทน ก็พร้อมที่จะปรับบทบาทไปอยู่เบื้องหลัง ในโหมดการเมืองรูปแบบใหม่ ซึ่งเวลานั้นมีการคาดการณ์ว่า อาจเป็นช่วงใกล้เลือกตั้งโดยชื่อของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้า ปชป.ถูกพูดถึงมาตั้งแต่นั้น
ทว่า เมื่อการเมืองพลิกผัน ส่งผลให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ไม่ต่างจากสถานการณ์ภายใน “ค่ายพระแม่ธรณี” ที่เต็มไปด้วยสารพัดปมร้อน
ท่ามกลางกระแสข่าวความไม่ลงรอยระหว่าง “คีย์แมนสีฟ้า” ที่ปรากฏออกมาเป็นระยะ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง “เฉลิมชัย” และ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เลขาธิการพรรค
แม้จะมีคำยืนยันจาก “หัวหน้าต่อ” ย้ำหนักแน่น พูดคุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ว่ากันว่า ภายใต้หลากหลายเงื่อนปม ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ราบรื่นเหมือนแรกเริ่ม พูดกันถึงขั้นที่ว่า “มองหน้ากันอย่างไม่สนิทใจ”
ไหนจะข่าวคราวการเดินแยกทางของสมาชิก ทั้งกระแสข่าว “แกนนำภาคใต้” เปิดดีลเชื่อมสายสัมพันธ์กับ “พรรคนายทุน” ส่วนอีกกลุ่มเปิดดีลย้ายค่ายกับ “ค่ายสีน้ำเงิน” เห็นชัดถึงการลงพื้นที่ของแกนนำรวมถึง “ผู้นำความคิด” สีน้ำเงิน
ขณะที่อีกส่วน พูดถึงฉากทัศน์การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะการกอบกู้เรตติ้งที่กำลังติดลบให้กลับคืนมา โดยชื่อของ “อภิสิทธิ์” ไม่ได้เพิ่งถูกพูดถึง แต่มีการพูดกันมาเป็นระยะ
ไหนจะท่าทีของ “2 บิ๊กเนม” ที่แสดงออกไปคนละทิศทาง โดยเฉพาะการร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย
ฝั่ง “หัวหน้าต่อ” ยกมติกรรมการบริหารพรรค ที่ให้อำนาจหัวหน้าพรรคตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ส่วนการแถลงร่วมกับพรรคเพื่อไทย เป็นไปในฐานะรัฐบาลเก่า ตีความกันถึงขั้นที่ว่า เป็นการทอดไมตรีไปถึงพรรคสีน้ำเงิน
ขณะที่ฝั่ง “เลขาชาย” ยืนยันอยู่ฝั่งพรรคเพื่อไทย 100% ถึงขั้นลั่นวาจา ไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่ หากจับมือพรรคที่ถูกตรวจสอบเรื่องเขากระโดง และคดีฮั้ว สว.
หรือกรณีที่ “ชัยชนะ เดชเดโช” รองหัวหน้าพรรค โพสต์ภาพคู่กับ “กรณ์ จาติกวณิช” พร้อมติดแฮชแท็ก #ฟ้าวันใหม่สดใสเสมอ ในวันเดียวกันกับที่ “เฉลิมชัย” ยื่นจดหมายลาออก
หลายปรากฏการณ์ดูเหมือนจะส่งสัญญาณกดดันไปที่ “หัวหน้าต่อ” จุดนี้ต่างหากที่กลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ตัดสินใจลาออกในที่สุด
แน่นอนว่าภายใต้โจทย์สำคัญ คือ คะแนนนิยม “พรรคสีฟ้า” ที่กำลังดิ่งหนัก ชื่อของ “อภิสิทธิ์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ “ดีเอ็นเอสีฟ้า” ของแท้ อีกทั้งเคยเป็นผู้นำพรรคในยุคที่ “ค่ายพระแม่ธรณี” รุ่งโรจน์ แถมยังเป็นแม่เหล็กในการดึงเลือดเก่าไหลกลับ จึงเป็นชื่อแรกๆ ที่ถูกโยนหินออกมา เพื่อกอบกู้เรตติ้ง
หากไล่ย้อนผลการเลือกตั้งในช่วงที่ “หัวหน้ามาร์ค” เป็นผู้นำ พบว่า ปี2554 ปชป.กวาด สส.159 ที่นั่ง ขณะที่ ปี 2562 หลังการเมืองถูกแช่แข็งมาเป็นเวลานาน แม้ ปชป.จะได้ สส.มาเพียง 53 ที่นั่ง หายไปกว่าครึ่ง แต่ยังคงถือแต้มในระดับต่อรองในฐานะเป็นพรรคลำดับ 2 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่กระนั้นหากอ่านเกมลึกของ “ค่ายสีฟ้า” ลงไปอีกชั้น ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า “ดุลอำนาจ” เวลานี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน ขณะที่เงื่อนไขสำคัญในการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ นั่นคือ “โหวตเตอร์” ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก : สส.ปัจจุบัน มีคะแนน 40% ของที่ประชุมใหญ่ ถือเป็นฐานกำลังที่แข็งที่สุดในพรรคเวลานี้ ปัจจุบัน ปชป.มี สส.25 คน แบ่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์ 3 คน สส.เขต 22 คน กลุ่มใหญ่อยู่ที่ 2 จังหวัดแรก คือ นครศรีธรรมราช 6 เสียง (2 ขั้ว 5+1) สงขลา 6 เสียง (2 ขั้ว 4+2 ) ตรัง 2 เสียง ประจวบคีรีขันธ์ 2 เสียง พัทลุง 2 เสียง ปัตตานี แม่ฮ่องสอน สกลนคร และอุบลราชธานี จังหวัดละ 1 เสียง
กลุ่มสอง : กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีคะแนน 20%
กลุ่มสาม : โหวตเตอร์อื่น เช่น อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต สส. รัฐมนตรีของพรรคในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น มีคะแนน 40%
เท่ากับว่า เสียงชี้ขาดจะอยู่ที่ 2 กลุ่มแรก ที่มีอัตราโหวตอยู่ที่ 60% ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ใน “ขั้วอำนาจเดิม” แบ่ง 3 สายคือ สายเฉลิมชัย สายเดชอิศม์ และสายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคที่ต้องลุ้นว่าเสียงจะเทไปในทิศทางใด
อ่านเกมท่ามกลางสัญญาณที่ถูกส่งออกมาจาก “ค่ายสีฟ้า” เวลานี้ ยังมีหลายกระแสที่ต้องจับตา ทั้งกระแสดัน “อภิสิทธ์” คัมแบ็กหัวหน้าพรรค ที่แม้เวลานี้กำลังมาแรง ทั้งกระแส และเสียงเชียร์จากสมาชิกพรรค
ทว่าอีกกระแส ยังมองต่าง ด้วยเหตุผลที่ว่า หาก “อภิสิทธิ์” คัมแบ็ก ภายใต้จุดยืนที่เปลี่ยนไป อำนาจของอดีตหัวหน้าพรรคจะถูกจัดวางในจุดใด โดยเฉพาะท่าทีในการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยแบบ 100% ของ “เดชอิศม์” ที่ดูเหมือนจะสวนทางกับ “อภิสิทธิ์” เหมือนน้ำกับน้ำมัน
จึงมีอีกกระแสที่ถูกปล่อยออกมาในเวลานี้ คือ ชื่อของหัวหน้าพรรคคนใหม่จะยังคงเป็น “อำนาจเก่า” ล็อกไปที่ชื่อของ “เดชอิศม์” เลขาธิการพรรค
สอดคล้องกับความเห็นของ “ศิริโชค โสภา” อดีต สส.สงขลา ประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิด “อภิสิทธิ์” อ่านเกมว่า ภายใต้องคาพยพ และอุดมการณ์เดิม จึงยังไม่เชื่อว่า “อภิสิทธิ์” จะคัมแบ็กหัวหน้าพรรค
ยิ่งล่าสุด “เดชอิศม์” ไปจัดประชุมสาขาพรรคเขตเลือกตั้งที่ 6 เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา มีการพูดเชิงหยอกล้อว่า น่าจะได้คนสงขลา ลูกสงขลา เป็นหัวหน้าพรรค
ไหนจะท่าทีของ "เลขาชาย" ได้โพสต์ในห้องไลน์กลุ่ม สส.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 13 ก.ย.68 ว่า
“เรียนพี่น้องชาว ปชป.ที่เคารพรัก ครับ วันนี้ หน.พรรค ของเราได้ลาออกจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เรียนว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในพรรคของเรา ฉะนั้นอยากให้พวกเรานิ่งให้พอ รอพบปะหารือในครอบครัวของเรา อย่าหวั่นไหว อย่าตระหนก ทุกอย่างมีทางออกเสมอ ผมยืนยันว่ายังเป็นหลักให้กับพวกเราเสมอ พวกเราค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตรึกตรองร่วมกัน สัปดาห์หน้า นัด สส.ทุกคน คุยปัญหาเบื้องต้นร่วมกัน หาทางออกร่วมกัน"
จนมีการตีความว่าอาจเป็นการส่งสัญญาณรักษาดุลอำนาจนี้ไว้อยู่กับตัว
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการสะท้อนถึง “เกมลึก” ในค่ายสีฟ้า ที่อาจต้องลุ้นกันอีกหลายขั้นหลายตอน ชื่อของ “อภิสิทธิ์” จะใช่ผู้นำพรรคตัวจริง หรือที่สุดจะเป็นแต่ตัวหลอก สิ่งที่จะชี้ขาดคือ โหวตเตอร์ ที่ต้องลุ้นว่าฝ่ายไหนจะปิดเกมชิงอำนาจได้ก่อนกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







