'ชูศักดิ์' เผยพท.จ่อถกร่างแก้รธน. - ตั้ง กมธ. ดึงตัวแทนทุกภาคส่วน

'ชูศักดิ์' เผยพท.จ่อถกร่างแก้รธน. - ตั้ง กมธ. ดึงตัวแทนทุกภาคส่วน

'ชูศักดิ์' นัดทีมกฎหมายพท. ถกทำร่างแก้ไขรธน. ชี้ตั้ง กมธ. ดึงตัวแทนทุกภาคส่วนร่วมแทน ส.ส.ร. ชี้ MOA ผูกมัดร่างต้องผ่านวาระ 3 ก่อนยุบสภาภายใน 4 เดือน

ที่พรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และรองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้นัดทีมกฎหมายชุดเล็ก ซึ่งเป็นฝ่ายกฎหมายของพรรค เพื่อหารือถึงการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และตามหมวด 15 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ที่จะต้องมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการกำหนดวิธีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะทำอย่างไร ก่อนจะนำเสนอสู่รัฐสภาให้พิจารณาครบทั้ง 3 วาระ 

ซึ่งวาระที่ 1 และวาระ 3 จะต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เห็นชอบด้วย 1 ใน 3 และต้องได้เสียงจากพรรคการเมืองฝ่ายค้านร้อยละ 20 เห็นชอบด้วย ซึ่งหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จบกระดาน ม้วนเสื่อกลับบ้าน
 

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ศาลฯ ชี้ว่าห้ามเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.โดยตรง ซึ่ง แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้มีแนวทางในการเลือก ส.ส.ร.โดยอ้อม เช่น แนวคิดที่ว่าให้รัฐสภาเลือก ส.ส.ร.หรือให้รัฐสภา ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยเห็นว่าเรื่อง ส.ส.ร. 

"หากเป็นลักษณะทางการก็จะต้องเป็นคณะใหญ่ อาจจะมีจำนวน 100-200 คน ซึ่งต้องมีรองประธานสภาฯ หรือประธานสภาฯ โดยที่ประธานรัฐสภา ต้องมีการทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่งอาจจะดูอุ้ยอ้าย เห็นว่ารัฐสภาอาจจะตั้งคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 47 หรือ 50 คน ก็แล้วแต่จะตกลง"
 

นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ควรมีตัวแทนจากหลายภาคส่วน อาทิ คณบดีคณะนิติศาสตร์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ทั้งของมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนตามจำนวนที่ตกลง ตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศาลฯ องค์กรอิสระ สภาทนายความ และตัวแทนจากวิชาชีพทั้งหลาย 

รวมถึงองค์กรเอกชนตามสัดส่วน และรัฐสภาอาจจะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการจากตัวแทนสภาของตน เช่น ตามสัดส่วนพรรคการเมืองในสภา และวุฒิสภา ซึ่งในจำนวนนี้รวมแล้วประมาณ 47-50 คน โดยที่จะทำให้องค์กรกะทัดรัด ซึ่งจะให้การทำงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ถือเป็นแนวคิดในเบื้องต้นของพรรคเพื่อไทย

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องคำวินิจฉัยของศาลฯ ยังยึดโยงกับ MOA ของพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ในเงื่อนไขของการยุบสภาฯ ภายในระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งก็หมายความว่าในเวลาดังกล่าว ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาครบทั้ง 3 วาระแล้วก่อนที่จะยุบสภา ซึ่งหากไม่แล้วเสร็จก็จะไม่มีอะไรไปทำประชามติ และเพื่อไม่ให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป ซึ่งทุกพรรคการเมืองต้องเข้าใจตรงกันในเรื่องนี้

“อย่างน้อย 4 เดือนต้องทำให้เสร็จ ถ้าทำไม่เสร็จก็จบ เสร็จตอนไหนอย่างน้อยสุด ต้องผ่านวาระ 3 เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 147 ถ้าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านวาระ 3 แล้ว สามารถเดินต่อไปได้ แม้จะมีการยุบสภาฯ” นายชูศักดิ์ กล่าว

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายประชามติปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ และต้องถามความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการทำประชามติ ที่จะต้องมีการชี้แจง และทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ในวันเลือกตั้ง ส.ส. ทั่วไป นอกจากจะมีการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว ต้องทำความเข้าใจกับการทำประชามติในคราวเดียวกันด้วย 

โดยเฉพาะมีคำถามประชามติ 2 คำถาม ซึ่งวันนี้คณะกฎหมายชุดเล็กจะหารือกันก่อนที่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ของพรรคในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ย.68) ย้ำว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ร.ทางอ้อม ในความต้องการของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับรูปแบบที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ ซึ่งวิธีการของพรรคเพื่อไทย จะทำงานได้รวดเร็วกว่า รวมถึงจะมีส่วนร่วมจากฝ่ายต่าง ๆ พร้อมมั่นใจว่า จะสามารถไปพูดคุยกันได้ในภายหลัง

“หากจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จทั้ง 3 วาระ ภายในระยะเวลา 4 เดือนไม่ต้องเป็นอันกินอันนอนกัน หลังต.ค.ปิดสมัยประชุมสภาฯ ก็ไม่ต้องไปไหนกัน ประชุมการจัดทำรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ต้องทุ่มเทกันถึงขนาดทั้งวัน ทั้งคืน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ทัน พี่น้องสื่อมวลชนก็ถามกันว่าปวดหัวไหม ยอมรับว่าปวดหัว ปัญหาไม่ใช่ง่ายๆ พอไปประชุมมีเรื่องที่ต้องให้คิดสลับซับซ้อน เช่น กรรมาธิการกับสภาร่างฯ จะเอาอย่างไร เถียงกันได้ทั้งวันทั้งคืน” นายชูศักดิ์ กล่าว