ผู้ตรวจฯ แจงปม ถูกยื่นถอดถอน คดีชั้น 14 ชงแก้กฎ ส่งรักษานอกเรือนจำ

ผู้ตรวจการแผ่นดิน แจงปมถูกยื่นถอดถอน จากคดีส่งทักษิณรักษาชั้น 14 ยันไม่ได้รับรองแทนแพทยสภา พร้อมให้ตรวจสอบ เสนอแก้กฎกระทรวง-เพิ่ม กก.ร่วมตรวจสอบผู้ต้องขัง รักษานอกเรือนจำ
15 ก.ย.2568 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงข่าว กรณีมีการล่ารายชื่อถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยให้การรับรองการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจชอบด้วยกฎหมาย ว่า จากการแสวงหาข้อเท็จจริง และการมีคำวินิจฉัยที่ผ่านมา มีข้อเท็จจริง ดังนี้
1. กรณีอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ หรือกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการส่งตัวผู้ต้องขังออกมารักษาตัวภายนอกเรือนจำ
เนื่องจากโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่า การตรวจวินิจฉัยโรค นายทักษิณ ชินวัตร ได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ ภายใต้พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 โดยเคร่งครัด
ผลการวินิจฉัยของโรคเป็นข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วย ถือเป็นความลับ และเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2552 มาตรา 7 ซึ่งกำหนดให้ “ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้น เป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ หรือกฎหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้ ประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
ดังนั้น การรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพ เป็นหลักจริยธรรมทางการแพทย์ที่สำคัญ ที่แพทย์จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
การพิจารณาและวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้เปิดเผย หรือเข้าถึงข้อมูลการตรวจรักษาและความเห็นของแพทย์ในการตรวจวินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลได้
แตกต่างจากศาลซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้แพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยความเห็นของแพทย์ และผลการตรวจรักษา และวินิจฉัยผู้ป่วยต่อศาล เพื่อประกอบการพิจารณา และวินิจฉัยคดีของศาลได้
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับข้อเท็จจริง ณ ขณะนั้น ปรากฏว่าได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ หรือกฎหมายไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน เลขดำที่ 1979/2566 และ 2492/2566 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ว่า เมื่อได้มีผู้ร้องเรียนในกรณีเดียวกันนี้ไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่อาจก้าวล่วงในกรณีดังกล่าวได้
แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม หากแพทยสภามีความเห็นในเรื่องนี้เป็นประการใดแล้ว เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนทราบตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ต่อมาในระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนเลขดำที่ 1978/2566, 2535/2566 และ 2181/2566 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า แพทยสภาได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมดำเนินการ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ
ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 ว่า เมื่อผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการฯ เป็นประการใด หน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามกรอบหน้าที่และอำนาจต่อไป
2. นอกจากนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้มีความเห็นว่าเพื่อให้การปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำ ทัณฑสถาน โรงพยาบาลสังกัดกรมราชทัณฑ์ทุกแห่ง ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณะ และเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงมีข้อเสนอแนะในเชิงมาตรการบริหารเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเคร่งครัด
ในกรณีที่แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้รับรองว่ามีเหตุเจ็บป่วยที่ต้องรักษาตัวนอกเรือนจำ และผู้ต้องขังได้รับการพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ขอเสนอให้แก้กฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ให้มีคณะกรรมการเพื่อดำเนินการร่วม ตรวจวินิจฉัย และให้ความเห็น
กรณีผู้บัญชาการเรือนจำใช้ดุลยพินิจให้ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำ เสนอให้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฯ โดยให้ผู้บัญชาการเรือนจำบันทึกการใช้ดุลยพินิจไว้ในระบบของเรือนจำ เพื่อการตรวจสอบ หากมีผู้ประสงค์จะขอข้อมูลให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
3. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่า คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินทุกเรื่อง ไม่ปรากฏการรับรองกระบวนการส่งตัวผู้ต้องขังออกมารักษาตัวภายนอกเรือนจำ และมิได้รับรองอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด
อีกทั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้รับการชี้แจงในรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของนายทักษิณ ชินวัตร อันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
อีกทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งให้เปิดเผย หรือเข้าถึงข้อมูลการตรวจรักษา และความเห็นของแพทย์ในการตรวจวินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล เช่นเดียวกับศาลดังที่กล่าวมาแล้ว
ประกอบกับได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ว่าอาจมีการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ หรือกฎหมายไปยังแพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัย และข้อเสนอแนะตามข้อ 1 และข้อ 2
4. ส่วนประเด็นว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่นั้น เป็นอำนาจในการไต่สวนและตรวจสอบของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรค 2 ที่บัญญัติว่า “เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในศาลฎีกาจำนวน 3 คน มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใดๆ ตามที่เห็นสมควร เพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล” ดังนั้น ในประเด็นเรื่องการบังคับโทษจึงมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินแต่อย่างใด
“ยืนยันว่าการวินิจฉัยของผู้ตรวจฯ ไม่เคยรับรอง และไม่เคยปรากฏการรับรอง การเจ็บป่วยของนายทักษิณแต่อย่างใด และเราไม่เคยได้รับข้อมูลสุขภาพของนายทักษิณ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอ้างกฎหมาย ที่เป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งผู้ตรวจฯ ไม่มีอำนาจไปสั่งให้เขาเปิดเผยข้อมูลได้” นายทรงศัก กล่าว
ส่วนประเด็นคำถามว่า เหตุใดจึงไม่มีการตัดผมนายทักษิณหลังเข้าเรือนจำ เรื่องนี้ทางผู้ตรวจก็ได้สอบถาม และได้รับคำชี้แจงว่า ตามระเบียบการตัดผมนักโทษ จะดำเนินการภายในเวลา 7 วันหลังเข้าเรือนจำ แต่นายทักษิณอยู่ไม่ถึงระยะเวลาดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่รับเรื่องร้องเรียน เมื่อเดือน ต.ค.2566 แต่เพิ่งมาชี้แจงเอาในวันนี้ เพราะมีการแทรกแซงกดดันหรือไม่ นายทรงศัก กล่าวว่า ยอมรับว่าชี้แจงน้อยไปหน่อยในช่วงแรก แต่ยืนยันว่าไม่มีผู้มีอำนาจ หรือใครเข้ามาแทรกแซงกดดันไม่ให้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แม้แต่จะมีใครมาพูดคุยติดต่อกับตน หรือคณะทำงานนั้น ก็ไม่มี
เราทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ ทำตามกระบวนการเหมือนการพิจารณาเรื่องร้องเรียนอื่นๆ ไม่มีการแทรกแซงกดดัน เราว่าไปตามดุลยภาพและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำวินิจฉัยที่ออกมาอยู่บนหลักการ และเหตุผล ที่ไม่ได้เอนเอียงไปทางใด เราให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับกรณีมีผู้ร่วมลงชื่อถอดถอนตนนั้น ตนรับฟังความคิดเห็นของทุกคน ไม่ก้าวล่วง และพร้อมที่จะรับการตรวจสอบในรูปแบบต่างๆ และระหว่างนี้ก็คอยสังเกตการณ์ และดูว่า ผลจากการสื่อสารในวันนี้ ทางฝ่ายที่ยังไม่เข้าใจนั้น จะเป็นอย่างไร และเราจะดำเนินการอย่างไรหรือไม่นั้น ก็ดูก่อน
ส่วนประชาชนทั่วไป เชื่อว่าเมื่อได้รับฟังคำชี้แจงแล้ว จะมีความเข้าใจมากขึ้น ย้ำว่าการที่ออกมาพูดในวันนี้ไม่ใช่เป็นการแก้ตัว หรือแก้ต่าง เพราะการพูดก่อน หรือพูดหลัง ไม่ได้มีนัยสำคัญ ที่สำคัญคือ ข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
“บางคนอาจจะเข้าใจว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับรองเห็นชอบ ซึ่งก็ต้องเรียนว่า การยุติเรื่อง คือมีการดำเนินการตรวจสอบ แสวงหาข้อเท็จจริง มีมติและข้อเสนอแนะในเรื่องนั้นๆ แล้วเสร็จ จึงได้ยุติเรื่องแต่ไม่ใช่การรับรอง ซึ่งก็จะทำเช่นนี้ในทุกๆ คำร้อง”
ก่อนหน้าได้ส่งคำชี้แจงให้กับ นางวิรงรอง ทราบแล้วเมื่อเดือน พ.ค.2568 อย่างไรก็ตาม กรณีมีผู้ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไร หรือแรงจูงใจอย่างไร เป็นเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ แต่การทำงานของเราโปร่งใสชัดเจน
เมื่อถามว่า เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าของการดำเนินการตามคำร้องนี้ นายทรงศัก กล่าวว่า ยอมรับว่า อาจจะไม่ได้เล่าให้กับสังคมฟัง แต่หลังจากที่มีมติ ผู้ร้องเรียนก็ได้มีการนำข้อมูลไปเผยแพร่ และไม่ได้มีการโต้แย้งกลับเข้ามายังผู้ตรวจการแผ่นดิน ประกอบกับสถานการณ์ในช่วงนั้นค่อนข้างมีความร้อนแรง จึงเห็นว่าการดำเนินการก็ควรจะทำให้แล้วเสร็จก่อน
เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการแผ่นดินที่ไปชั้น 14 ได้เจอตัวในทักษิณจริงๆ หรือไม่ นายทรงศัก กล่าวว่า เท่าที่ได้รับรายงาน เจ้าหน้าที่ต้องการไปตรวจสภาพของชั้น 14 เนื่องจากมีการร้องเรียนว่า มีการเจ็บป่วยจริงหรือไม่ และพักอยู่ที่ชั้น 14 จริงหรือไม่ โดยในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ไปประชุมกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อแล้วเสร็จก็ขอขึ้นไปดูสถานที่ชั้น 14 ก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงนายทักษิณนอนอยู่ภายในห้อง โดยเป็นการมองผ่านกระจกเข้าไป แต่ไม่มีรายละเอียดว่า ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์การแพทย์ตามตัวหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า เนื่องจากประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ใกล้พ้นตำแหน่ง ท่านในฐานะเป็นแคนดิเดตประธานคนใหม่ มองว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นการดิสเครดิตหรือไม่ หรือจะกระทบกับความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งหรือไม่ นายทรงศัก กล่าวว่า เป็นเรื่องที่สังคมต้องตัดสิน เชื่อว่าประชาชนจะมีวิจารณญาณ หลังได้รับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว ยืนยันว่า ได้มีการส่งคำวินิจฉัยให้กับผู้ร้องเรียนที่มีเข้ามา 5 คำร้องเรียนแล้ว ส่วนนางวิรงรองไม่ใช่ผู้ร้องแต่เราก็ได้ทำการชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าวของนายทรงศัก ซึ่งมีการไลฟ์สดของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปรากฏว่านางวิรงรอง ได้เข้ามารับชมและ ยืนยันว่า ตนเองเป็นหนึ่งในผู้ร้องเรียน พร้อมตั้งคำถามว่า หลังจากแพทยสภามีมติแล้ว ได้ทำหนังสือโต้แย้งคำวินิจฉัยของผู้ตรวจฯ ไปยังสำนักงาน ดังนั้น ทำไมจึงไม่ยอมรับคำโต้แย้งของตน และนำข้อมูลของแพทยสภาไปพิจารณาทบทวนคำวินิจฉัยของผู้ตรวจที่ออกมาก่อนหน้านั้น ซึ่งจะทำให้คำวินิจฉัยของผู้ตรวจ ไม่ขัดกับคำพิพากษาของศาลฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กของสำนักงานฯ โดยมีผู้รับฟัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของผู้ตรวจฯ กรณีการวินิจฉัยข้อร้องเรียนชั้น 14







