‘ส้ม’ เสียเหลี่ยม ‘น้ำเงิน’ รธน.ใหม่ ปิดประตู ส.ส.ร.เลือกตั้ง?

‘ส้ม’ เสียเหลี่ยม ‘น้ำเงิน’ รธน.ใหม่ ปิดประตู ส.ส.ร.เลือกตั้ง?

ไม่ว่าบทสรุปเรื่องนี้จะออกมาหน้าไหน เรียกได้ว่า มติของ ปชน.ในการโหวตหนุน “ภูมิใจไทย” ผลักดัน “หนู” ขึ้นเป็น “ราชสีห์” ในครั้งนี้ เป็นการเดินเกมผิดพลาดอย่างสาหัส

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้โดยตรง ซึ่งเป็นการปิดกั้นแนวทางหลักของ "ก๊กส้ม" ที่ต้องการ ส.ส.ร. จากการเลือกตั้ง 100%
  • คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลให้แนวทางการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ต้องใช้วิธีอื่น เช่น การเลือกไขว้หรือการสรรหา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ "ก๊กน้ำเงิน" ที่มีเครือข่ายและอิทธิพลมากกว่า
  • สถานการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นความผิดพลาดทางการเมืองของ "ก๊กส้ม" ที่เสียเปรียบ "ก๊กน้ำเงิน" ในการผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามแนวทางที่ตนเองต้องการ

ในที่สุดก็เริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับการ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติด้วยเสียงข้างมาก 2 ประเด็น คือ 1.ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่ 

โดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติ ให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน

ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

2.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมากเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง 

ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ 

ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร 

ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ 

ทั้งนี้การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นไปตามการคาดการณ์ของ “ก๊กส้ม” ที่เขียนไว้อย่างรัดกุมในร่าง MOA 5 ข้อ โดยในข้อ 2 ระบุว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามมาตรา 256 นั้น

คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป

ทว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ล้ำลึก” กว่านั้น แม้จะมีมติข้างมากชี้ว่า รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องทำประชามติ 3 ครั้งก่อน 

ทว่าได้ “ปิดประตู” ส.ส.ร.ที่มาจากการ “เลือกตั้ง 100%” ซึ่งเป็นความมุ่งหมายตั้งใจแต่แรกของ “ก๊กส้ม” โดยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดเจนว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

นั่นหมายความว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ร.ในลักษณะเดียวกับ สส.จะเกิดขึ้นไม่ได้ และคาดว่าการเลือก ส.ส.ร.นั้น เหลือทางออกอยู่ 2 ทางคือ 1.การเลือกแบบไขว้ในลักษณะเดียวกับ สว. 2.การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาเป็น ส.ส.ร. ลักษณะเดียวกับ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญฯ เมื่อปี 2558 หรือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เมื่อปี 2560 ในยุค คสช.เรืองอำนาจ จัดทำรัฐธรรมนูญปี 2560 ส่วนใครจะเป็นกรรมการสรรหานั้น ต้องรอดูหน้างานอีกที แต่คาดว่าอาจเป็นในลักษณะการเลือกองค์กรอิสระ กล่าวคือ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน ประธานศาลฎีกา และประธานองค์กรอิสระต่าง ๆ สรรหาคนมาให้โหวต

แต่ใน 2 ทางเลือกข้างต้นนั้น ไม่ว่าจะทางไหน ย่อมเข้าทาง “ก๊กน้ำเงิน” ที่มีสรรพกำลังในทุกองคาพยพ ทั้งยังเรืองบารมีในแวดวงองค์กรอิสระหลายแห่ง เท่ากับว่า ปิดประตู “คนสีส้ม” เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เลย หรือถ้ามีก็เป็นสัดส่วนที่ “น้อยมาก” จนไม่ส่งผลต่อมติการโหวต

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจหาก “ก๊กน้ำเงิน” ที่ถูกตราหน้าว่า “ภูมิใจขวาง” ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญในรัฐบาลก่อน ดันกลับลำมาแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ที่สำคัญยังทำให้ “ก๊กน้ำเงิน” ได้หน้าว่า ปฏิบัติตามข้อสัญญา MOA ทุกประการ มิได้บิดพลิ้ว ซึ่งอาจเรียกคะแนนนิยมเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้อีก

แม้ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) จะออกโรงแถลงในช่วงเย็นวันเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ยืนกรานว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ปิดทาง “ส.ส.ร.” จากการเลือกตั้ง โดยแถลงช่วงเย็นวันเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง แต่เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าว ยังไม่ได้ปิดประตูต่อการมี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐสภายังออกแบบกลไกให้ ส.ส.ร.ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ ส.ส.ร.จัดทำมาที่รัฐสภา ก่อนไปทำประชามติจากประชาชนได้ แต่ต้องรอดูรายละเอียดในคำวินิจฉัยฉบับเต็มเสียก่อน

เช่นเดียวกับ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” โฆษกพรรค ปชน.ที่มาแถลงร่วมกัน ยังย้ำว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปิดประตู ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง กลไกรัฐสภาออกแบบได้ แต่ต้องรอดูคำวินิจฉัยฉบับเต็มเสียก่อน

ทั้งนี้ “ก๊กส้ม” มองว่า สามารถใช้เหลี่ยมเปิดช่องให้มี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนส่งให้รัฐสภา เพื่อส่งไปทำประชามติ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญปี 2560 มิได้มีการบัญญัติเรื่อง ส.ส.ร.เอาไว้ แต่เหลี่ยมนี้ จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ และหากทำแล้วจะถูก “องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความซ้ำ ทำให้การทำรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าเกินกว่า 4 เดือน เข้าทาง “ก๊กน้ำเงิน” หรือไม่ ต้องรอดู

อย่างไรก็ดี แม้แต่ “คนวงใน” อย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า แม้เคยออกปากวางมือทางการเมือง หยุดเคลื่อนไหวไปในช่วง ปชน.หนุนภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลก็ตาม แต่ในฐานะ “นักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญ” เมื่อครั้งเป็น “นิติราษฎร์” ถึงกับโพสต์ตัดพ้อว่า ความพยายามจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่รัฐสภาชุดนี้กำลังทำกันอยู่นั้น ถูกบังคับให้เดินตามกรอบและเงื่อนไขจำนวนมาก ทั้งเงื่อนไขในบทบัญญัติหมวดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้งเงื่อนไขที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ ทั้งเงื่อนไขที่รัฐสภาอาจยอมจำกัดอำนาจตนเองด้วยความกังวลใจ

ปิยบุตร ระบุด้วยว่า ทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (หากเกิดขึ้นจริง) ย่อมไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยแท้ มันคงเป็นได้แค่เพียง รัฐธรรมนูญส่วนต่อขยายหรือส่วนแก้ไขภายใต้ “บ้าน” ของรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น แล้วรัฐธรรมนูญใหม่ของแท้จะเกิดขึ้นเมื่อไร คำตอบอยู่ในสายลม

ดังนั้น ไม่ว่าบทสรุปเรื่องนี้จะออกมาหน้าไหน เรียกได้ว่า มติของ ปชน.ในการโหวตหนุน “ภูมิใจไทย” ผลักดัน “หนู” ขึ้นเป็น “ราชสีห์” ในครั้งนี้ เป็นการเดินเกมผิดพลาดอย่างสาหัส เสียทั้งฐานมวลชนแฟนคลับ เสียทั้งภาพลักษณ์ของพรรคที่ไปสนับสนุน กลุ่มบุคคลที่อาจพัวพันกับ “คดีฮั้ว สว.-เขากระโดง” แถมยังเสียรังวัดทางการเมืองอีกรอบ และยากเหลือเกินที่จะฟื้นวิกฤติศรัทธาที่กำลังสั่นคลอนครั้งนี้ได้

ความฝันแลนด์สไลด์เกิน 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ดูท่าจะริบหรี่เต็มทน