‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

แม้มีข้อยุติเรื่องจำนวนทำประชามติ ทว่าในคำวินิจฉัยศาล เท่ากับปิดประตูแก้รธน. ทันสภาชุดนี้ แต่ "ปชน." ไม่คิดเช่นนั้น เพราะเห็นทางลัด ที่ต้องยอมแลกกับ การยืดยุบสภา

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชัดว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง ถือว่าเป็นข้อยุติ ทำให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติม ที่บรรจุในวาระรัฐสภา นับหนึ่งไม่ได้
  • เท่ากับว่า การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ในสมัยสภาฯนี้ ต้องปิดฉากลง
  • ทว่าในคำวินิจฉัยที่ออกมา มีประเด็นพ่วง เกี่ยวกับ "สสร." ที่ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง
  • จึงเป็นงานยากของ "พรรคประชาชน" ที่ต้องการกำหนดกลไก ให้ประชาชน เป็นผู้จัดทำรัฐธรรมนูญของตนเอง
  • ทว่าในช่องทางที่ดูเหมือนปิดทาง ยังมีทางลอด ทางลัด  โดยพรรคประชาชน  เรียกร้องให้ทุกพรรค แก้ไขมาตรา 256 เพื่อปลดล็อกเงื่อนไข-เดดล็อกการแก้รัฐธรรมนูญ ให้ทันในห้วง4เดือน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายยุบสภาที่วางไว้
  • ทำให้ต้องจับตาถึงเกมการเมืองฉากต่อไป ที่อาจเปิดช่องให้ "ภูมิใจไทย" ยื้อเวลายุบสภา โดยใช้ "สว." เป็นเครื่องต่อรอง หาก "พรรคประชาชน" ต้องการแก้มาตรา 256 ให้สำเร็จลุล่วง ตามแนวทางที่ปูไว้

ศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก 6 : 1 วินิจฉัยให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องผ่านการทำประชามติ 3 ครั้ง

ครั้งแรก คือ ออกเสียงว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่ หมายถึง ก่อนแก้ไขมาตรา 256

ครั้งสอง คือ การออกเสียงเกี่ยวกับวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญ หมายถึง เนื้อหาหลังแก้ไขมาตรา 256

ครั้งสาม คือ ภายหลังจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว โดยให้ประชามติว่าจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ทว่า ในเนื้อหาของคำวินิจฉัยมี “อนึ่ง” ต่อท้ายให้ “รัฐสภา” ที่มีหน้าที่ และอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องไปขบคิด คือ การทำประชามติครั้งแรก และครั้งที่สอง อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกมองว่า อาจจะมัดรวมในคำถามประชามติรอบแรกว่า “เห็นชอบต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการอย่างไร และมีเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร”

นอกจากในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อจำนวนครั้งการทำประชามติแล้ว ยังพบว่า มีประเด็นวินิจฉัยโยงไปถึง “กระบวนการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ที่ “ฝ่ายการเมืองทั้งในและนอกสภาฯ” ส่วนใหญ่เห็นสอดคล้องกัน คือ ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 100%

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง  

ต่อประเด็นนี้ในคำวินิจฉัยของศาลได้ระบุว่า “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

เท่ากับ “ปิดทาง” การมี “สสร." ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 

โดยประเด็นนี้เป็นปมที่อาจกระทบต่อ “ข้อตกลงทางการเมือง” ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ได้เพราะใน MOA ข้อ 2 ระบุไว้ชัดเจนว่า “คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว”

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

แม้ใน MOA จะไม่มีคำต่อท้ายว่า “เลือกตั้ง..โดยตรงจากประชาชน” แต่จุดยืนของพรรคประชาชนที่ผ่านมา รวมถึงเนื้อหาที่พรรคประชาชนเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ที่เสนอต่อรัฐสภา เขียนไว้ชัดว่า การจัดทำฉบับใหม่ โดย “สสร.” ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่น่าจับตาว่า ทางออกของเรื่องนี้ จะเป็นไปในทิศทางไหน 

“นิกร จำนง” นักการเมืองที่คร่ำหวอดในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ มองว่า สิ่งที่พอเป็นทางออกได้ คือ ใช้วิธีเดียวกับการทำรัฐธรรมนูญ 2540 คือ ยอมให้ สสร. มาจากการเลือกของประชาชน แต่กระบวนการคัดเลือกคณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องให้ “รัฐสภา” ดำเนินการ

“ในชั้นนี้ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมที่บรรจุในวาระของรัฐสภา ทั้งฉบับของพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องถอนออกไปก่อน เพราะเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด กรณีกำหนดให้ สสร.มีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่หากฝ่าฝืน หรือพยายามเดินหน้า อาจเปิดช่องให้ถูกร้องเอาผิดจริยธรรม หรือฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงได้” นิกร ระบุ

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

ดังนั้น แม้ในเรื่องของกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญจะได้ข้อยุติต่อประเด็นที่ถกเถียงในสภาฯ และผลลัพธ์ที่ชัดเจน คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ต้องยุติอย่างถาวรในสภาฯ ชุดนี้

และไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ในวาระสภาฯ ชุดหน้า หลังเลือกตั้ง

เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะข้อตกลงทางการเมืองที่ “พรรคส้ม” ขีดวาระอายุรัฐบาล “อนุทิน” ไว้ที่ 4 เดือน นับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่า จะไม่เกินต้นเดือนต.ค.นี้ 

ดังนั้น กรอบระยะจะสิ้นสุดช่วงเดือน ม.ค.2569 จากนั้น “รัฐบาล”ต้องประกาศยุบสภา ซึ่งส่งผลให้ต้องเลือกตั้งใหม่ ภายใน 45 - 60 วัน จึงไม่ทันต่อการวางวาระเพื่อตั้งต้นนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชน ได้ทันสมัยสภาชุดนี้

ทว่า ประเด็นนี้ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน มองเห็นเส้นทางลัดในการย่อโรดแมปแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านการผลักดันแก้ “เงื่อนไขวิธีการแก้รัฐธรรมนูญ” 

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

ผ่านการเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองร่วมยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภาในเดือนก.ย. เพื่อให้รัฐสภาทำเนื้อหาให้เสร็จภายใน 4 เดือน จากนั้น นำเนื้อหาที่แก้ไข เข้าสู่กระบวนการประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ตามโรดแมปข้อตกลงทางการเมือง

หากสามารถปลดล็อกเงื่อนปม ที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขมาตรา 256 เหมือนที่ “พรรคส้ม” พยายามมาก่อนหน้านั้น ทั้งตัดเงื่อนไข ใช้เสียง สว. 1 ใน 3 เห็นชอบในวาระแรก และวาระสาม ตัดประเด็นใช้เสียงฝ่ายค้าน 20% เพื่อเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข เท่าเปิดโอกาสให้ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เกิดขึ้นได้โดยสะดวกมากขึ้น

ดังนั้น ต้องจับตากระบวนการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อคลายปม มาตรา 256 ในรัฐสภา ที่อาจเกิดขึ้นตามแผนของ “พรรคประชาชน” ให้ดีว่า จะผลักดันให้สำเร็จภายใน 4 เดือน ทันเดดไลน์ยุบสภา ที่ตนเองขีดไว้หรือไม่

เงื่อนไขนี้ มองอีกมุม อาจเป็นช่องให้ “พรรคภูมิใจไทย” ต่อรอง ขอยืดปฏิทินยุบสภาฯออกไป ผ่านกลไกของ “สว.สีน้ำเงิน” ที่ใช้ยื้อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามประเด็นที่ “พรรคประชาชน” ต้องการ

‘แก้รธน.’ยืดวาระ 'ยุบสภา'?? 'ปชน.' เปิดทาง 'ภท.' ต่อรอง

ดังนั้น หาก “พรรคส้ม” ต้องการเรียกเรตติ้งก่อนการเลือกตั้ง พร้อมกับเปิดทางสะดวกให้มี “รัฐธรรมนูญของประชาชน” โดยเร็วในสมัยสภาฯหน้า อาจต้องยอมแลกด้วยการขยายเวลาให้รัฐบาล เพราะมองแง่ของประโยชน์แล้ว อาจจะ “ได้มากกว่าเสีย”