จากหัวหน้าห้องสู่การเมืองใหญ่ เมื่อจิตอาสากลายเป็นธุรกิจ

ลองย้อนนึกภาพตอนเราเป็นเด็ก หลายคนคงจำได้ว่ามีเพื่อนบางคนที่อาสามาเป็นหัวหน้าห้อง คอยจัดการความเรียบร้อย เก็บงานส่งครู หรือช่วยเหลือเพื่อนๆ ตำแหน่งนี้ไม่ได้มีรางวัลใหญ่โต
แต่เต็มไปด้วยความภูมิใจและการยอมรับจากเพื่อน
เมื่อโตขึ้นเป็นนักศึกษา บทบาทแบบนี้สำหรับบางคนยังคงอยู่ เพียงแต่ขยับขึ้นเป็นผู้นำนักศึกษาหรือคนทำกิจกรรมจิตอาสาที่ครอบคลุมและมีผลกระทบต่อสังคมมากขึ้น แม้งานจะเหนื่อยและใช้เวลา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเกียรติประวัติและความภาคภูมิใจ ซึ่งแน่นอนที่ไม่ใช่เรื่องเงินทองและเงินทอน
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน จิตอาสาอาจปรากฏในรูปแบบอื่น เช่น การเป็นกรรมการสมาคมศิษย์เก่าของสถาบันเดิม หรือช่วยงานสาธารณกุศลขององค์กรที่ตนเองสังกัดอยู่ จนถึงลงไปทำงานในชุมชนด้อยโอกาส กิจกรรมเหล่านี้ล้วนไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นเงิน แต่หลายคนทำเพราะต้องการมีส่วนในการสร้างสรรค์สังคมน่าอยู่ และอาจรวมไปถึงการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ครอบครัว หรือวงศ์ตระกูล
อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเงินก็เริ่มเข้ามามีบทบาท งานอาสาสมัครของชาวบ้านแบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เดิมเป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละของคนที่มีจิตอาสา มาคอยดูแลคนเจ็บป่วยและผู้สูงอายุในหมู่บ้าน
แต่เมื่อรัฐบาลกำหนดให้มีค่าตอบแทนประจำบางส่วนแก่ อสม. บทบาทนี้ก็อาจจางลงจนกลายเป็นกึ่งอาชีพสำหรับบางคน แม้จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่คนที่มาทำงานนี้แต่ก็ลดทอนคุณค่าของการแบ่งปันและการอาสาลงไป
ในแวดวงการเมือง เรื่องนี้นับวันจะยิ่งเห็นชัด สมัยก่อนนักการเมืองล้วนเข้าสู่สนามด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการสร้างบ้านแปลงเมืองให้ดีขึ้น ผู้นำบางคนที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์เพื่อบ้านเมืองก็ดังเช่น คุณชวน หลีกภัย หรือมหาจำลอง ศรีเมือง
เมื่อเวลาผ่านไปการเมืองกลับกลายเป็นธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่นบางคนที่พื้นฐานเดิมเป็นผู้รับเหมา เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นนายกเทศมนตรีก็จะผลักดันโครงการต่างๆ เช่น ถนน (เป็นส่วนใหญ่) เพื่อให้บริษัทก่อสร้างของตนเองมารับงานไปทำไม่เพียงแค่ระดับท้องถิ่น
ปรากฏการณ์นี้ได้ลุกลามสู่การเมืองระดับชาติ นักธุรกิจใหญ่หลายกลุ่มเริ่มเข้ามามีบทบาทในการมาเป็นรัฐบาลเองและการใช้เครือข่ายในรัฐบาลมากำหนดนโยบายให้เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจตัวเอง เกิดคอร์รัปชันเชิงนโยบาย และสร้างเกียรติภูมิจอมปลอมขึ้นแทนความหมายแท้จริงของการเสียสละเพื่อบ้านเมืองกลายรูปจากประชาธิปไตยเป็น "ธนาธิปไตย"
จุดเปลี่ยนของสังคมไทย สิ่งที่เราเห็นคือ การเปลี่ยนจาก “จิตอาสา” สู่ “ผลประโยชน์” และจาก “เกียรติ” สู่ “ธุรกิจ” ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึง 50 ปี คือ
การดำเนินงานในอดีตรัฐ แทนที่รัฐจะปลูกฝังคุณค่าของการมีจิตอาสาของนักการเมืองในการเข้ามาทำงานให้บ้านเมือง รัฐโดยนักการเมืองกลับไปเพิ่มค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ แม้กระทั่งบำนาญให้แก่ตัวเอง ผิดกับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของประเทศที่เจริญทางวัฒนธรรม การอาสามาทำงานให้ส่วนรวมที่มิได้ให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ดีเกินเลยแก่สมาชิกของทั้งสองสภา
สิทธิพิเศษที่นักการเมืองไทยได้อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ใครๆ ก็อยากมาทำงานการเมือง โดยมีภาพจำอย่างผิดๆ ว่าเป็นอาชีพที่ทำเงินง่าย แถมมีอำนาจสั่งการและจัดทำงบประมาณที่เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้องได้ด้วย
● โครงสร้างการเมือง ที่เปิดทางให้ทุนใหญ่ที่คิดแต่การแข่งขันเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก เข้ามามีอิทธิพลครอบงำการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียในระยะยาวอันรวมถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมทุกรูปแบบ
● การตรวจสอบที่อ่อนแอ จากโครงสร้างการเมืองข้างต้น ประกอบกับความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เกิดสภาพ’โง่ จน เจ็บ’ของประชาชนฐานราก กลายมาเป็นสังคมที่อ่อนแอ ไม่สามารถตรวจสอบการโกงบ้านกินเมืองของนักการเมืองได้ จนนักการเมืองมองว่าการเมืองเป็นช่องทางทำเงิน มากกว่าการอาสามารับใช้ประชาชน
ทางออก: ฟื้นคืนความหมายของจิตอาสา ถ้าเราอยากเห็นสังคมที่ดีขึ้น ต้องเริ่มจากการดึงปรัชญาของความมีจิตอาสากลับคืนมาสู่สังคมโดยเร็ว
ความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชน ประชาชนต้องเข้าใจว่าปรัชญาของการมาทำงานให้บ้านเมืองนั้นจริงๆแล้วไม่ได้แตกต่างจากการที่นักเรียนบางคนสมัครมาเป็นหัวหน้าห้องหรือหัวหน้าชั้นเลย เพราะมันคือการทำงานด้วยหลักคิดของจิตอาสาเช่นกัน ฉะนั้น ถ้าใครไม่เคยมีประวัติการทำงานจิตอาสาแบบบริสุทธิ์ ประชาชนก็ต้องไม่เลือกคนนั้นเข้ามาเป็นตัวแทนของเรา
ปลูกฝังวัฒนธรรมอาสาในคนรุ่นใหม่ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยรวมทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ทำให้เยาวชนเห็นคุณค่าของการ “ให้” มากกว่าการ “ได้” จนการมีจิตอาสาเป็นวัฒนธรรมประจำถิ่น อันทำให้เราได้นักการเมืองที่เข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมืองจริงในสักวัน
การเมืองแบบมีส่วนร่วมและโปร่งใส รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลงบประมาณ และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่รักในความเป็นจิตอาสา สมัครมาช่วยกันตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐและนักการเมือง รวมทั้งลดการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม
บทสรุป จากหัวหน้าห้องในห้องเรียนวัยเด็ก สู่นักการเมืองระดับชาติ เรื่องราวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า “จิตอาสา”เคยเป็นฐานรากที่แข็งแกร่งของสังคมไทยมาก่อน แต่เมื่อผลประโยชน์เข้ามาครอบงำ ปรัชญาและแนวคิดเหล่านี้ก็ถูกบิดเบือนจนเลือนหาย
หากเรายังปล่อยให้การเมืองเป็นธุรกิจ และการเข้ามาทำงานให้บ้านเมืองกลายเป็นเพียงอาชีพกอบโกย คุณค่าที่ดีงามของการทำงานให้บ้านเมืองจะค่อยๆ สูญสลาย แต่ถ้าเราฟื้นความหมายของการอาสาและทำให้การเมืองโปร่งใสจริง เราจะได้เห็นไทยที่เต็มไปด้วยคนที่พร้อมทำเพื่อสังคม และการเมืองที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และเมื่อนั้น คำว่าคอร์รัปชันจะหายไปจากเมืองไทย







