‘ชินวัตร’ จนมุม ‘นิติสงคราม’ จบคดีพ่อ มี '5 คดีลูก' รุกไล่

‘ชินวัตร’ จนมุม ‘นิติสงคราม’ จบคดีพ่อ มี '5 คดีลูก' รุกไล่

ทั้งหมดคือ 5 ชนักปักหลัง “ชินวัตร” เท่าที่ยังเหลืออยู่ในขณะนี้ แม้ว่า “ก๊กแดง” กำลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูปบนสมรภูมิการเมือง ณ เวลานี้

KEY

POINTS

  • ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาสั่งให้กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี โดยชี้ว่าการอ้างอาการป่วยเพื่อรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นฟังไม่ขึ้น
  • แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว กำลังเผชิญการถูกตรวจสอบใน 5 คดีสำคัญที่อยู่ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • 5 คดีที่แพทองธารเผชิญอยู่ประกอบด้วย กรณีคลิปเสียงสนทนา ข้อกล่าวหาโยกย้ายงบประมาณโดยมิชอบ ปมตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ที่อาจเป็นการเลี่ยงภาษี ปัญหาที่ดินรีสอร์ทเขาใหญ่ และกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์

สมรภูมิ “นิติสงคราม” ล่าสุด “ก๊กแดง” จนมุมกระดานการเมือง ชนะ 1 ศึก แต่พ่าย 2 ศึกใหญ่ กล่าวคือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ แม้พ้นบ่วง “คดีมาตรา 112” แต่ถูกศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษกลับไปจำคุก 1 ปี “คดีชั้น 14” โดยเห็นว่า การอ้างอาการป่วยต่าง ๆ เพื่อไปพักรักษาตัว รพ.ตำรวจ โดยไม่ผ่าน รพ.ราชทัณฑ์นั้น ฟังไม่ขึ้น 

ขณะที่ “แพทองธาร ชินวัตร” บุตรสาว อดีตนายกฯ ถูกศาลรัฐธรรมนูญลงมติข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ชี้ว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรง กรณี “คลิปเสียงฉาว” สนทนากับ “ฮุน เซน” ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

อีกด้าน หมากในสภาฯก็เดินเกมพลาด พ่ายแพ้ศึกชิงเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 หลัง “พรรคประชาชน” (ปชน.) ท่วมท้นเทใจ 143 เสียง โหวตประเคนเก้าอี้ “สร.1” ให้กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ศัตรูคู่อาฆาต “ก๊กแดง” ทั้งที่มีเวลาในการเจรจาต่อรองกับ “ก๊กส้ม” แต่กลับยื่นเงื่อนไข “ไม่ถูกใจ” จนทำให้ ปชน.ต้องไปเทเสียงโหวตให้ “ก๊กน้ำเงิน” แทน

ด้วยสารพัดเรื่องเหล่านี้ ทำเอา “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” ในฐานะลูกสาวคนเล็กที่เข้าไปร่วมรับฟังคำสั่งศาลฎีกาฯ ที่สั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปีแก่ “ทักษิณ” ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหน้าศาลฎีกาฯ ด้วยเสียงสั่นเครือ ตอนหนึ่งว่า 

"ท่านทักษิณ ยังเป็นผู้นำในทางจิตวิญญาณในเรื่องของการเมืองที่ผ่านมา ผลงานที่ทำเพื่อบ้านเมือง ท่านยังนึกถึงบ้านเมืองเสมอ และตั้งใจจริงในการหวังจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ดิฉันและครอบครัวเป็นห่วงคุณพ่อ แต่รู้สึกภูมิใจที่คุณพ่อสร้างประวัติศาสตร์มากมายในประเทศ ไม่ว่านโยบายที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนในประเทศ อยู่มาวันนี้ เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีนายกฯคนแรก ที่ต้องจำคุก เรื่องนี้อาจค่อนข้างหนักนิดหนึ่ง แต่กำลังใจดี ทั้งคุณพ่อและครอบครัว"

“ในส่วนของดิฉัน และพรรคเพื่อไทย ยังมุ่งมั่นทำงานต่อ เพื่อเป็นฝ่ายค้าน ทำงานเพื่อประชาชน ตรวจสอบรัฐบาลต่อไป ส่วนของพรรคเอง ทุกคนมีกำลังใจที่ดี ขอบคุณทุกภาคส่วน ประชาชนทุกคนที่ให้กำลังใจ และคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดเวลาที่ผ่านมา ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้” แพทองธาร กล่าวด้วยเสียงสะอื้น

ขณะที่โซเชียลมีเดียของ “ทักษิณ” ซึ่งดำเนินการโดยทีมงาน โพสต์ข้อความหลายช่องทาง ภายหลังศาลฎีกาฯสั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปี โดยมีสาระสำคัญว่า “จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้”

แม้ “ก๊กแดง” จะจนกระดานแทบเรียกได้ว่า “พ่ายแพ้ศึก” แล้ว แต่ “นิติสงคราม” ยังคงรุกไล่ “ตระกูลชินวัตร” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายของ “แพทองธาร” ในฐานะ “อดีตนายกฯชินวัตรรุ่น 3” ที่เพิ่งพ้นเก้าอี้มาหมาด ๆ มีเรื่องร้องเรียนในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 เรื่องใหญ่ ดังนี้

1.กรณี “คลิปเสียงแพทองธาร” แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 

กรณี “สว.สีน้ำเงิน” เข้าชื่อร้องเรียนว่าการกระทำของ “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยการไต่สวนคดีนี้ คาดว่า ป.ป.ช.จะขอคัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรง นำมาประกอบในสำนวนคดีด้วย

และกรณีอดีต สว. นำโดย “สมชาย แสวงการ” และคณะ ยื่นเรื่องต่อกองบัญชาการสอบสวนกลาง ให้สอบสวน แพทองธาร ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และข้อหาความมั่นคง เบื้องต้นกองบัญชาการสอบสวนกลางส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.ซึ่งมีอำนาจไต่สวน ดำเนินการต่อแล้ว

เบื้องต้นนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กร ดังนั้นอาจเทียบเคียงกับกรณีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในคดีโยกย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ “ยิ่งลักษณ์” พ้นเก้าอี้ไปก่อน ต่อมา ป.ป.ช.สอบ และชี้มูลความผิด “ยิ่งลักษณ์” ในคดีเดียวกัน 

ดังนั้นจึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้ว ทาง ป.ป.ช.จะมีมติเป็นไปทางอื่น ทั้งนี้ หาก “แพทองธาร” ถูกชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรง จะส่งเรื่องไปศาลฎีกาพิจารณาต่อไป หากสุดท้ายศาลพิพากษามีความผิดจริง จะถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต

2.กรณีกล่าวหา “ครม.แพทองธาร” ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กรณีโยกย้ายงบประมาณ แบ่งเป็น 2 สำนวน ได้แก่ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวหา “รัฐบาลแพทองธาร” ส่อจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง รวม 2 สำนวน คือ กรณีกล่าวหา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ทั้งคณะ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 รวมไปถึง สส. และ สว. ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 ดังกล่าว

และกรณีกล่าวหา สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยบรรดา สส.และอดีต สส.พรรคเพื่อไทย เช่น สาโรจน์ หงส์ชูเวช พิษณุ หัตถสงเคราะห์ จักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกฯ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงในสำนักงบประมาณว่า มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง มีพฤติการณ์ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการสั่งการ บังคับ ก้าวก่าย หรือเข้าแทรกแชง ในการจัดทำงบประมาณ การอนุมัติงบประมาณ การบริหารงบประมาณ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 วงเงินราว 51,584 ล้านบาท ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อประโยชน์ของตนเอง และผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยทั้ง 2 สำนวนนี้ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.อยู่

3.กรณีกล่าวหา “ตั๋ว PN” หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัวของ “แพทองธาร” โดยถูก “ฝ่ายค้าน” นำโดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.)กังขา และนำไปสู่การซักฟอกในสภาฯ อย่างเผ็ดร้อนว่า เข้าข่ายทำ“นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้กว่า 218.7 ล้านบาทหรือไม่

ปัจจุบันเรื่องนี้เหมือนจะเงียบหายไปจากกระแสสังคม ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ และสาธารณชนเฝ้าติดตามอย่างหนัก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ 2 หน่วยงาน 1.สำนักงาน ป.ป.ช.ที่รับเรื่องไว้ไต่สวนแล้ว 2.กรมสรรพากร ที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ชี้ขาดประเด็นนี้ หากมีความผิดจริง อาจต้องเสียเงินจ่ายภาษีย้อนหลังหลายร้อยล้านบาท

4.กรณี “รีสอร์ทหรู” เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ถูก “ธีรัจชัย พันธุมาศ” สส.กทม. พรรค ปชน.อีกหนึ่งมือดีค่ายสีส้ม ซักฟอกกลางสภา ขุดหลักฐานว่า โฉนดที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ให้สงวนหวงห้ามไว้ ไม่ให้มีการเข้าไปทำประโยชน์และไม่ให้ออกเอกสารสิทธิใด ๆ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเช่นกัน

5.กรณี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” มี 2 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ กรณีเพิกถอนโฉนดที่ดินนับพันไร่ของสนามกอล์ฟอัลไพน์ โดยรัฐจะต้องจ่ายเงินเยียวยาราว 7.7 พันล้านบาท เบื้องต้น บริษัท อัลไพน์ฯ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอคุ้มครองชั่วคราว และขอให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนที่ดินดังกล่าวแล้ว และอีกกรณีสำคัญน่าจับตา เงื่อนปม “แพทองธาร ชินวัตร” ถือครองหุ้น “อัลไพน์” ภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกฯคนที่ 31 ก่อนจะโอนหุ้นดังกล่าวให้แก่ “มารดา” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จำนวน 22,410,00 หุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท เมื่อ 18 ส.ค. 2567 ซึ่งถูก “เรืองไกร” ร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบไปแล้วข้างต้น

ทั้งหมดคือ 5 ชนักปักหลัง “ชินวัตร” เท่าที่ยังเหลืออยู่ในขณะนี้ แม้ว่า “ก๊กแดง” กำลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูปบนสมรภูมิการเมือง ณ เวลานี้ บทสรุปสุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป